1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Sunday, December 31, 2006

สงบสุขในความฝัน

สิ้นเสียงนาฬิกาสั่นบอกเวลาสุดท้ายของศักราชปัจจุบัน อีกลมหายใจข้างหน้า จะมอบให้แก่ปีถัดไป ....ลมหายใจของผู้มีชีวิตรอด มันช่างน่าพิสมัยและเป็นที่ปรารถนาของผู้คนในเวลานี้ ในฐานะที่จะได้มีโอกาสรับรู้ความเป็นไปของสังคมที่ไม่มีวันล่วงรู้ได้เลยว่า ระเบิดจุดต่อไปจะเกิดขึ้นที่ได้ มีเพียงใจที่เฝ้ารอเท่านั้นว่า คงจะไม่ใช่ตนที่จะไดรับรู้ด้วยตัวเอง

มีความแตกต่างกันระหว่างอุบัติเหตุ กับก่อเหตุการณ์ร้าย ต่างกันตรงที่ความตั้งใจ และความบังเอิญ ความหวาดกลัวของผู้คนที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่เป็นอุบัติเหตุ จะส่งผลให้พวกเขาเหล่านั้น ระแวดระวังภัย มีสติ และดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท แต่ในเมื่อเสียงดังในวันนี้ ไม่ใช่เสียงพลุแห่งงานฉลอง แต่เป็นเสียงระเบิดที่คร่าชีวิตผู้คน ใครกันจะทันล่วงรู้ ว่านี่คือการก่อการร้าย

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ปรารภให้ฟังถึงเหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดของเขา เขาเอ่ยขึ้นว่า
“อยู่ที่กรุงเทพฯสบายกว่าเยอะ”
เพื่อนของข้าพเจ้าพูดถูก ที่นี่มีกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ แต่..มันไม่ได้ทันท่วงทีทุกครั้งหรอกเพื่อน เราต่างใช้ชีวิตในกองเพลิงสงครามเท่ากัน นายจำไว้

อีก 6 ชั่วโมง จะสิ้นปี พ.ศ.2549.เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่ใคร่แน่ใจนักว่า ใครเป็นผู้กระทำ เพราะศัตรูทางความคิดในปัจจุบันมีมากมายเหลือเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คือการทำลายบรรยากาศ และขวัญของผู้คน ที่จะเริ่มจดจำไปตลอดปีใหม่ที่กำลังจะเดินทางเข้ามา ความตายเข้ามามีบทบาทและเขย่าท่าทีของผู้นำประเทศ

7 จุดที่ได้รับรายงานว่ามีระเบิดไม่ทราบชนิดกำลังไหลออกจากปากผู้สื่อข่าวช่องต่างๆ ไม่นานจากนั้น รายชื่อของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ทยอยรายงานเข้ามาเป็นระยะ ข้าพเจ้าฟังรายชื่อแล้วให้ถอนหายใจ ที่รายชื่อเหล่านั้นไม่ใช่ญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก แต่ที่น่าอนาถใจยิ่งกว่า คือหนึ่งในนั้นคือเด็กน้อย อายุ 10 ขวบได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด เธอคือเหยื่อความโหดเหี้ยม ในคืนที่ทุกคนต่างพร้อมมอบความสุขให้กัน และยินดีเริ่มต้นกันใหม่ คืนส่งท้ายปีเก่า

จุดที่ 1 เกิดระเบิดย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ
จุดที่ 2 หน้าตลาดคลองเตย
จุดที่ 3 ใกล้แยกสะพานควาย
จุดที่ 4 ซอยสุขุมวิท62
จุดที่ 5 บริเวณห้างซีคอนสแคว์
จุดที่ 6 ระเบิดที่ย่านเยาวราช
จุดที่ 7 แมคโคร แจ้งวัฒนะ

หวังว่า จุดต่อไป จะคือจุดจบของผู้ก่อการร้าย..ฉันภาวนา.

Wednesday, December 20, 2006

แดดลวง

วันอาทิตย์สุดท้ายก่อนวันปีใหม่ ครอบครัวของนางสมัยดูจะเคร่งเครียดกว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เสียงเอ็ดตะโรดังลั่นมาจากปลายซอย ไม่ช้านักข้าวของอย่างหม้อ ครก และเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ ก็ระเกะระกะอยู่นอกบ้าน

บ้านไม้สองชั้นที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ บัดนี้ไม่เหลือเค้าของความอบอุ่นอื่นใดอีก นอกจากความร้อนระอุ ที่คู่ผัวเมียสุมใส่กันไม่หยุดหย่อน

เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงนวลตอง ไม่ช่วยให้สถานการณ์นั้นดีขึ้น“จะร้องทำไม หะ อีนวล” ชายคนหนึ่งกระแทกเสียงพร้อมกับกระหน่ำตีที่หลังและขา เด็กหญิงนั่งร้องไห้ไม่ลุกหนี ในมือยังกอดตุ๊กตาหมีขนปุยสีน้ำตาลผูกโบว์ลายทางสีแดงแนบอก

“อย่ามาลงกับลูกสิพี่” นางสมัยกระชากแขนชายผู้เป็นสามี ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ร่างของนางสมัยก็พับเพียบกองอยู่กับพื้นรองรับแรงโกรธของสามีด้วยการกระหน่ำตีไม่แพ้กัน

สองแม่ลูกโผเข้ากอดกัน เนื้อตัวสั่น สงครามครั้งนี้ ตุ๊กตาหมีจบชีวิตลง นุ่นกองกระจายออกรวมกับกองขยะที่ชายผู้เป็นพ่อสะบัดกำลังโถมทำลาย

เขาจากไปแล้ว

“แม่ หนูกลัว” นวลตองสะอื้นไม่หยุด สำหรับเด็กอายุ 7 ขวบ นี่ไม่ใช่ฝันร้ายของเธอ ภาพต่างๆจะถูกบันทึกในส่วนหนึ่งของจิตใจ

นางสมัยปลอบโยน ลูบผิวตามเนื้อตัว แขนขา นางเปิดเสื้อยืดของลูกสาว เห็นรอยฝ่ามือและจ้ำหยิกสีแดงมีเลือดซิบ น้ำตาของแม่พรั่งพรู เธอไม่น่าเลือกเขาเป็นพ่อใหม่ให้นวลตองเลย

“อย่าร้องนะลูกนะ เพี้ยงหายนะลูก” นางสมัยลูบเรือนผมบางๆของลูกสาว ย้ำคำให้ลูกใจชื้น บรรจงเป่าที่รอยแผล ไอร้อนๆจากปากของนางสมัย สร้างความอบอุ่นให้นวลตองมากขึ้น

นวลตองหลับไปในเย็นนั้น ในมือยังคงกอดซากตุ๊กตาหมี นางสมัยเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายไปทั่ว พี่ชายที่เพิ่งกลับบ้านเข้ามาถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ผัวเอ็งเอาอีกแล้วรึ มันเมาทีไรเป็นอย่างนี้ทุกทีซิน่า ตอนดีๆข้าก็เห็นมันเงียบๆ ไม่มีอะไร แล้วนังตองเป็นไงบ้าง มันร้องไห้โฮเลยสิ” นายสำเริงยืนเท้าเอวหน้าบ้าน ในมือยังถือมีดดายหญ้า เครื่องมือที่ไปรับจ้างมาตั้งแต่เช้ามืด

นางสมัยไม่เอ่ยตอบอะไร เรื่องมันล่วงเลยไปไกลเกินกว่าจะแก้ไขได้โดยง่าย หนทางที่จะอยู่รอดคืออดทน อดทนเพื่อลูกสาวคนเดียว

“แม่จ๋า ทำไมพ่อถึงเกลียดหนู” สายตาของนวลตองไม่ได้บ่งบอกว่าอยากรู้มากนัก เพียงแต่สับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่พ่อเมาอยู่บ้านในวันอาทิตย์ จะต้องหาเรื่องโวยวสยอยู่เสมอ

อีกไม่กี่วันจะถึงวันปีใหม่แล้ว นวลตองเขียนคำขอของขวัญไว้ในสมุดเล็กๆที่ทางโรงเรียนให้ทำ“ขอให้พ่อเลิกตีหนู”

นางสมัยได้แต่ร้องไห้เมื่อลูกสาวตั้งคำถามเช่นนี้ นางไม่กล้าเอ่ยความจริงว่า นวลตองเป็นลูกที่เกิดจากการถูกข่มขืนจากชายแปลกหน้าที่เข้ามารุมทำร้ายเธอ พ่อที่แท้ของนวลตองคือใคร นางสมัยไม่กล้าคาดนึก

ในวันปีใหม่ ไม่มีเงาของสามีนางสมัย นางแน่ใจแล้วว่า คงถูกตัดขาด เพราะรู้ข่าวมาว่า เขาไปติดพันแม่ค้าขายดอกไม้แถวปากคลองตลาด ลึกๆนางดีใจที่รอดพ้นจากความรักที่ลวงหลอกมาเป็นเวลานาน กับข้อพิสูจนในคำที่แสนเจ็บปวด

“พี่จะรับเป็นพ่อให้ลูกในท้องเอง”

นางสมัยมักจะนั่งเหม่อที่บันไดบ้าน หลังจากปอกสายบัวเป็นเส้นสายขาวอวบรอท่าหั่นแล้วล้างมัดใส่ถุง นวลตองเป็นเรี่ยวแรงสำคัญนับจากนั้น นอกจากกำลังใจแล้ว นางสมัยยังต้องการกำลังกาย เธอเพลียอ่อนเรื่อยมาด้วยอาการปวดหัวเข่าที่เริ่มกำเริบอีกครั้งหลังจากเมื่อ 7 ปีก่อนที่เธอถูกฟาดที่ขาอย่างหนักในคืนที่ต่ำทรามที่สุดของชีวิตลูกผู้หญิง

“แม่จ๋า นี่ไงตุ๊กตาของหนู” นวลตองนั่งมัดหัวตุ๊กตาหมีที่ขาดวิ่นด้วยหนังยาง กลายเป็นหัวหมีที่มีปุ่มปมมากมาย นางสมัยอดขำไม่ได้ที่มองเห็นความพยายามของลูก

“มานี่ลูกมา ไปหยิบกล่องเข็ม เดี๋ยวแม่จะเย็บให้ใหม่” นางสมัยหยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมาดู ตุ๊กตาที่ชายคนรักเคยซื้อให้นวลตองเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่ช้า นวลตองหยิบกล่องเข็มมาให้ พร้อมกับนั่งมองตาแป๋วด้วยใจจดจ่อ เพราะนี่คือตุ๊กตาเพียงตัวเดียวที่นวลตองมี เธอกอดมันไว้ทุกคืน เป็นของเล่นเพียงชิ้นเดียวที่นวลตองมีอยู่

ด้ายสีขาวไม่เข้ากับขนปุยสีนำตาล นวลตองยินดีไม่เกี่ยงงอนที่ด้ายคนละสีทำให้ตุ๊กตาของเธอดูแปลกตาไป เพียงให้หัว ตัว แขนและขาติดกันให้คล้ายสภาพเดิมที่สุดเป็นพอ

วันเสาร์สิ้นปี
“อ้าวนังหมัย วันนี้มาส่งเองรึ ผัวไปไหนล่ะ” ยายดมทักปากแดง น้ำหมากไหลย้อยด้วยแกไม่มีฟันเหมือนสาวๆ
“ไม่รู้จ๊ะป้า ไปหาพ่อหาแม่มั้ง” นางสมัยชั่งสายบัวบนกิโลให้ยายดมมอง
“เออ...ผัวไปไหนทั้งคนไม่รู้ ระวังเถอะ ลูกมันจะจำหน้าพ่อมันไม่ได้” ยายดมถุยน้ำหมากลงบนพื้น สะเก็ดน้ำหมากกระเด็นมาถูกเท้าของนวลตองเห็นเป็นหยดสีแดงคล้ายเลือด
“10 กิโลนะจ๊ะป้า ขอบใจจ๊ะ” นางสมัยตัดบทแล้วจูงมือนวลตองออกจากตลาด ตรงลิ่วไปยังร้านขายโจ๊กที่ท่าน้ำ
“กินผักด้วยสิลูก ขิงนี่กินแล้วไล่พยาธินะ” สองแม่ลูกกินโจ๊กชามเดียวกัน วันนี้เธอสั่งพิเศษ ใส่ไข่ลงไปด้วย
“พ่อ”นวลตองเรียกพ่อเสียงลั่น ในปากยังมีโจ๊กอยู่เต็ม นางสมัยหันหน้าไปทางที่ลูกมอง เธอเห็นชายคนนั้น กำลังเรียงดอกกล้วยไม้ที่กำรวมกับใบเตยในกระป๋องพลาสติก ที่ร้านติดป้ายไว้ “วันนี้วันพระ”

นายชิตหันหน้ามาหา แล้วเดินมายังร้านขายโจ๊ก “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หมัย มาส่งสายบัวรึ” นายชิตขมวดคิ้วเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆจากคู่สนทนา
“วันสองวันจะไปเก็บของ ...เราอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ให้หลังปีใหม่ไปก่อน เก็บของให้ด้วยแล้วกัน เอาที่จำเป็น อันไหนไม่เอาก็เผาไฟไป ไม่อยากหอบกลับมามาก เลือกๆให้แล้วกัน” นายชิตหันหลังไม่มีเยื่อใย นวลตองมองตามเห็นพ่อกำลังพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านขายดอกไม้

“แม่ พ่อเขาไม่อยากอยู่กับเราแล้วหรือ” เด็กหญิงเอ่ยถามเบาๆ เพียงเท่านั้นก็เพียงพอให้น้ำตาของนางสมัยไหลหยดเป็นสายนางสมัยนึกถึงเรื่องราวครั้งเก่า กับความหวังมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่เธอถูกทำร้าย ชายคนรักไม่รังเกียจที่จะมอบอนาคตใหม่ให้กับเธอ และลูกในท้องที่เกิดจากความเลวร้ายของจิตใจคน

“ถึงอย่างไรพี่ก็รัก สมัย..นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย ลูกในท้องพี่จะรับเป็นพ่อเองไม่ต้องกังวลไปนะ ทำใจให้สบาย เราจะมีครอบครัวด้วยกัน” นายชิตขอนางสมัยอยู่กินเมื่อรู้ข่าวว่าเธอตั้งท้องได้เดือนเศษ

ตะวันที่ขึ้นมาในตอนเช้าเคยเป็นความหวังให้กับเธอ และกล้าไม้นานาในร่องสวน นางสมัยมักอมยิ้มเมื่อเห็นชายคนรักดายหญ้าในสวน มีเธอทำกับข้าวรออยู่ที่บ้าน ท้องแก่ของเธอทำให้เธออุ้ยอ้าย เธอก็เต็มใจปรนนิบัติ เพื่อตอบแทนความรัก และความหวังที่ผู้ชายคนหนึ่งมองให้อย่างหมดใจ

ไม่เพียงทำให้ต้นไม้เติบใหญ่ ความร้อนกล้าของแสงแดด ดูเหมือนจะกร่อนทำลาย ช่วงชีวิตของเธอ ไม่นาน อุดมการณ์ก็แพ้ความรู้สึกที่แท้

นายชิตไม่ใช่ผู้ชายคนก่อน เขาเหมือนคนแปลกหน้าที่นางสมัยตั้งคำถามทุกครั้ง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นับจากวันที่นวลตองเกิดขึ้นมา นายชิตไม่เคยแสดงความรักดังเช่นเคย

เธออยากให้แดดเมื่อปีก่อนเป็นเพียงหลอดไฟเก่าๆ ไม่สว่าง ไม่ชัดเจน เพื่อเธอจะได้แสวงหาความสุขจากความมืดมนไม่ชัดเจนบ้าง

“แม่จ๋า ของขวัญวันปีใหม่จ๊ะ” นวลตองส่งกล่องของขวัญมาให้ ในนั้นเป็นเทียนไขสีเหลือง ตราช้างคู่ “เอาไว้ใช้ตอนไฟดับไงจ๊ะแม่”

นางสมัยสวมกอดลูกสาว เธอสับสนในความรักและความชัง ครั้งหนึ่งเธอเคยเกลียดก้อนเนื้อก้อนนี้ ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นพลังความหวังของเธอเหลือเกิน.

Monday, December 18, 2006

เมื่อฤดูหนาวมาถึง





1.
ที่บ้านของฉันมีเพิงไม้
ลมฝนเมื่อวันก่อนทำหลังคาพังยับ
เมื่อคืนฉันมองเห็นจันทร์สวย
ดึกหน่อยลมโกรก ฉันหนาว

2.
แม่บอกกับฉัน
เป็นผู้นำต้องกล้าหาญ
ฉันอยากเติบใหญ่เป็นผู้นำ
ที่มีความพอเพียง

3.
ฉันออกเดินทาง
เพื่อเสาะหา..และเรียนรู้
หนทางที่ทำให้คืนนี้บ้านของฉัน
อบอุ่นให้แม่ไม่หนาวสั่น

4.
นั่นไงทางมะพร้าว
ช่างใหญ่ยาวเสียจริง
แม่คงภูมิใจเจ้าลูกอย่างฉัน
ตะวันยังไม่คล้อยฉันจะลากมันกลับบ้าน

5.
ท่านผู้นำ..ท่านผู้นำ
ฉันคิด คำนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ฉันใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด โถมเข้าใส่
เพื่อบ้านของเรา

6.
ค่ำคืนแสนหนาวหลังฝนซา
จะมีกี่บ้านกันหนาเข้าถึงลิ้มรสนั้น
ความหนาวที่รั้งดึงให้ผิวกาย
ระริกรัวสะอื้นสะอึก

7.
ฮุยเล่ฮุย..เอ้า..ฮุยเล่ฮุย
ตะวันจวนค่ำแม่ฉันร้องหา
เดี๋ยวนะแม่จ๋า
เป็นผู้นำต้องอดทน

8.
เสียงระงมดังลั่น
เสียงแม่ดังสั่นหัวใจลูกเหลือแสน
ความหนาวดอกหรือ ฉันละทิ้งทางมะพร้าว
ก้าวต่อก้าวไม่รอรี..........................แม่

9.
เอ้งอ๋างดังสักครู่
นาทีนี้ฉันหนาวยิ่งกว่าหนาว
แม่หลับบนถุงกระสอบ..แม่คงอุ่นดีแล้ว
เพียงพริบตา เขาทั้งหมดก็จากไป

10.
เพิงหมาแหงน
คืนนี้มีดาวระยิบ ฉันนอนหนาว
เนื้อตัวสั่นคืนนี้ไม่มีแม่ให้เคียงเกยเบียดกายอุ่น
สักวันแม่จะกลับมาไหม อยากให้แม่เห็นบ้านใหม่ของเราจัง