1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Sunday, October 01, 2006

ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งไกลห่าง

เรามีทฤษฎีสอนตัวเองว่า ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งไกลห่าง

ครั้งหนึ่ง เรามีความรักกับคนที่ รู้จักกันอย่างผิวเผิน...เขาน่ารัก และสนใจฉันมาก
เราคุยแลกเปลี่ยนทัศนติหลายอย่าง ...มันนานเท่าไหร่นะ ฉันลืมไปว่ามันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ

วันแรกที่รู้จักกัน ฉันนึกว่าเขาเป็นผู้หญิง ชื่อของเขาคล้ายผู้หญิงมาก แต่เมื่อได้รู้จักกัน ถึงได้รู้ว่า เขาเป็นหนุ่มน้อย ที่อายุห่างจากฉัน 2 ปี เขาไม่ได้เรียกฉันว่าพี่ เขาให้ความสนิทสนมกับฉัน อย่างเพื่อน ...ทุกคืนเราจะได้พบกันผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยม ทุกคืน จนฉันกลัว...กลัวจะกลายเป็นคนที่กลัวแสงอาทิตย์ เวลาของเรามีจำกัด มันน้อยมาก ที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ในโลกเสมือน ฉันขอให้เขาโทรศัพท์ปลุกฉันทุก 6 โมงเช้า ซึ่งเขาจะตื่นเวลานั้น

เขาแปลกใจที่คนทำงานและเรียนไปด้วยอย่างฉัน มีเวลานอนน้อยมาก...ในเวลานั้น แดดยามเช้าดูอบอุ่นกว่าทุกวัน ฉันตื่นขึ้นมาเพื่อรอโทรศัพท์ของเขา ฉันตื่นก่อนเขาจะโทรมา ใจยังหวังว่า เขาจะไม่ลืม ใช่แล้ว เขาไม่เคยลืม เขาทำตามคำขอเสมอ

และเขาก็ทำตามที่หัวใจของเขาขอเช่นกัน ในคืนที่เราไม่ทันรู้ตัว เขาขอให้เราเลิกติดต่อกับเขา เลิกคุย เลิกพูด เลิกโทรหา และบอกอีกว่า ตื่นเอาเองบ้าง เบื่อจะปลุกแล้ว...คำมันแรงกว่าที่ฉันทบทวนมาก มันคือฝันร้ายที่ฉันไม่เต็มใจฝัน ฉันรู้ว่าทุกอย่างจะเรียกว่าสมมติขึ้นก็ได้ เช่นกันกับเวลาที่เธอมาอ่านสิ่งที่เขียนนี้ มันไม่ใช่ความจริงในโลกที่เราแบ่งกันหายใจ เข้า-ออก

ฉันน่ารำคาญหรอกหรือ...คืนก่อนหน้านั้น เราคุยกันถึงเช้า มันเป็นลางบอกเหตุ เขาพูดขึ้นว่า

"ฉันอาจเป็นเงาของแก เป็นอดีตของแก ถ้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าไม่มีฉัน แกจะทำไงวะ"

ฉันไม่รู้หรอกในเวลานั้น แต่เวลานี้ฉันนรู้แล้ว "ฉันคิดถึง"

ทฤษฎีเก่าๆของเรา ยังปรากฎรูปจริงเสมอ

คนเรายิ่งเข้าใกล้บางอย่าง ยิ่งไกลห่างจริงๆ...เช่นวันนี้

เพียงเพราะคำว่า ที่ว่าง พื้นที่ของกันไม่ได้ถูกแบ่งเผื่อไว้ในวันหน้า จึงมีเพียงควันจางของมิตรภาพ บทเพลงที่เขาชอบ เรื่องเล่า และเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม นิ้วมือและขนมปังที่เคยกินอวด ในคืนหนึ่งที่เขาเริ่มหิวระหว่างคุย

ความคิดถึง ทำให้เรานอนดึกแบบนี้อีกแล้ว หวังว่าเช้าขึ้นมาเราจะไม่ได้รอการโทรมาปลุกของใคร...เราหวังว่า จะไม่รอ

7 Comments:

Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วเฮิร์ทจังเลย
ทำร้ายจิตใจมากๆ
อ่านดูมันเหมือนเรื่องที่เล่ารวบรัดไปนิด
ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเท่าไหร่จ้ะ
อ่านจบรู้อย่างเดียวว่าเฮิร์ท เฮิร์ท
มากด้วย
จริงๆ จ้ะ

7:55 AM  
Blogger 10เดซิเบล said...

เสียงโทรศัพท์ตอนเช้าพอเข้าใจ...ผมจำได้
ที่อยากได้ยินไม่ใช่เสียงของโทรศัพท์...แต่เป็นเสียงของคนในสาย
บางครั้งช่วงที่แย่ที่สุด...คือการเปลี่ยนแปลง
เพราะว่าเราไม่ได้หวังอะไรเลย...เพียงแค่ว่าขอตื่นมาแค่เห็นมิสคอลก็ยังดี

8:31 AM  
Blogger keerati said...

จริงด้วย

แค่นั้นก็คงดี...วันนี้ตื่นสายอีกแล้ว เพราะตื่นตอนตี 4กว่าๆเกือบตี 5 มีคนโทรมาให้ออนเอ็มคุยกัน

กว่าจะได้นอนอีกที เกือบ 6 โมง


นี่แหละช่วยให้ไม่ต้องรอใครมาปลุกตอน 6 โมงเช้า

กับวันอาทิตย์ที่นอนยาวๆได้ถึงบ่าย แต่ลุกขึ้นมาทำงานดีกว่า อยากเป็นนักเขียน

พี่วินทร์สั่งไว้ อึดไว้ เนี่ยแหละที่อ้อยจำแม่น

10:46 AM  
Blogger นุ่น said...

อืม ชีวิต!
เห็นด้วยกะพี่สิบฯ ว่าเราแค่อยากได้ยินเสียงคนปลายสาย หรือไม่มิสคอลมาก็ยังดี

ทรมานๆๆ

1:26 PM  
Blogger keerati said...

ตอนนี้ได้ยินแต่เสียงไก่ข้างบ้าน

ตี 2 มันก็ขันแล้วอ่ะ

1:58 PM  
Anonymous Anonymous said...

...
..
.

ไกลเท่าเดิม

http://www.icygang.com/jukebox/media_file/Hydra-glai_tao_derm.wma


**จำไว้เถิดว่า..น้ำตาที่หลั่งออกมาจากหัวใจนั้น...ไม่เหน็บหนาวเลย**

4:30 PM  
Anonymous Anonymous said...

ทุกอย่างบนโลกใบนี้นั้น เกิดขึ้นมาและก็ดับสูญทุกอย่าง แต่ความรู้สึกดีดีไม่เคยสูญหายจากใจ
จำไว้

3:31 PM  

Post a Comment

<< Home