1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Friday, October 20, 2006

หนังสือเล่มนั้น(2)






“วันนี้ผมจะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่ที่อร่อยที่สุด” ลิขิตชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวตรงข้ามโรงพยาบาล เขาล้วงมือซุกกระเป๋ากางเกงและยิ้มก่อนที่จะเอ่ยเบาๆ “วันนี้ฉันเลี้ยง”

“แหม รวยจริงนะ ไม่ต้องหรอกนะ ฉันต่างหากต้องขอบใจที่เธอให้ฉันยืมหนังสือ ถ้าไม่ได้เล่มนั้นกลับไปทำต่อที่บ้านนะ รายงานฉันต้องแย่แน่ๆเลย ขอบใจนะ”
“ถ้างั้นรีเลี้ยงผม ผมขอสองชาม”

“ได้...ได้...จำไว้”
ก๋วยเตี๋ยวไก้เคล้าลมเย็นๆทำให้น้ำซุปร้อนอุ่นเร็วกว่าเดิม

การนั่งเรือข้ามฟากกลับมาฝั่งท่าช้าง เป็นบรรยากาศที่สวยงามกว่าขาไป ท้องอิ่มทำให้รอยยิ้มสวยงามกว่าเก่า ลิขิตนั่งริมสุด สายตาทอดลงต่ำ มองเห็นริ้วน้ำที่พัดพาผักตบชวามาใกล้ๆ ในกองผักเหล่านั้น มีตุ๊กตาหนึ่งตัว เป็นตุ๊กตาหมีน้ำน้ำตาลหม่น ขนที่เคยพองกอดกัดกลมเมื่อต้องกับน้ำ ผักตบชวาพยุงร่างไว้ไม่ให้ต้องจมดิ่งจนมิดหัว ที่คอตุ๊กตาหมียังมีโบว์ลายจุดสีแดงผูกอยู่ สายตาของลิขิตมองตามไปจนลับ เมื่อลำเรือหมุนหันเพื่อเทียบฝั่ง

“อยากได้หรอ”นารีพูดกลั้วยิ้ม

“เอ้ย บ้าแล้ว ผมไม่ใช่ตุ๊ดนะ”

“ทำไม เป็นตุ๊ดมันผิดตรงไหน ออกจะน่ารัก ฉันมีเพื่อนเป็นเพศที่สาม ที่สี่ ที่ห้าเยอะแยะ ไม่เห็นมันจะต่างจากคนอื่นตรงไหน อยากได้ก็บอกนะ จะซื้อให้ ไอ้ตุ๊กตาหมีเนี่ย” นารีหัวเราะลั่น “ไปกลับบ้าน จะเข้าคณะต่อไหม เราจะไปนอนหอเพื่อนหน่ะคืนนี้ คงขึ้นรถเมล์หน้าวังเนี่ยแหละ”

“กลับ ผมจะเข้าไปทำงานต่อ ผมว่าคืนนี้จะค้างที่นี่หล่ะ”

“ให้ไปส่งไหม แหนะ ยิ้มสิ ล้อเล่น มันดึกแล้ว สองทุ่มครึ่ง เราสองคนนี่ทำอะไรช้าเหมือนกันนะ ว่าไหม”


ลิขิตยิ้มให้นารีก่อนแยกย้ายกันที่หน้าประตูทางเข้า ไม่ถึงสามลมหายใจเข้าออกเขารีบหันหลังกลับมาที่นารีอีกครั้ง เขาหยิบหนังสือเล่มเล็กส่งให้เธอ ความจริงเขาตั้งใจว่าจะให้นารีตั้งแต่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ ลังเลจนเกือบลืม หนังสือเล่มบางถูกห่อด้วยกระดาษไข เนื้อบางตายังคงมองเห็นปกสีเขียว หนังสือที่มีชื่อว่า “อะไรหรือ ที่เธอเรียกว่าความรัก” เป็นรวมบทความที่ให้กำลังใจของนักเขียนหญิงคนหนึ่ง

“โอโหแหะ มีของขวัญ ถามจริง เธอชอบฉันเปล่าเนี่ย”นารีพูดพลางหยิบหนังสือนั้นมาดู
“อืม เพิ่งรู้หรอ”

“เฮ้ย พูดเล่น เอาจริงดิ เป็นแฟนฉันต้องอดทนนะ ฉันเจ้าชู้...อ่ะ..อ่ะ ล้อเล่น อืมขอบใจนะ เดี๋ยวคืนนี้อ่านเลย ไปเหอะ รีบไปทำงานไป แล้วจะโทรหานะ ไปสิ............เอ้ ช้าจริง”

นารีดันหลังลิขิตเข้าประตูไป แล้วจึงข้ามถนนไปรอรถเมล์ที่วิ่งผ่าน หน้าหอศิลป์ ประตูตรงกันกับที่นารียืนรอนั้น ลิขิตยังไม่วางสายตาจากไป ดูเหมือนกับว่า เขายังมีอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกกับนารีในค่ำนี้

สายไปเสียแล้ว รถประจำทางสาย 124 แล่นผ่านมา นอกจากจะบดบังร่างของนารีแล้ว ยังนำเธอจากไปจากที่ยืนนั้นอีกด้วย นารีเปิดหนังสือเล่มนั้นออกอ่าน พลันเห็นกระดาษแผ่นเล็กที่สอดไว้ข้างในนั้น
“รอผมเหมือนเดิมนะ”

“ตาบ้าเอ๊ย ใครมันจะว่างไปรอบ่อยๆ” นารีกดหมายเลขโทรหาลิขิต ไม่มีใครรับสาย เธอวางสายแล้วโทรออกอีกครั้ง เหมือนเดิมอีก ไม่มีใครรับสายเช่นเดิม
ความรู้สึกเก่าๆ เรื่องราวเก่าๆของนารี ย้อนกลับมา เพียงแค่ปลายสายไม่รับหรือติดต่อกลับมาเท่านั้น เรื่องที่ทำเธอฟูมฟาย ได้แต่อดกลั้น และพลิกหนังสือเพื่ออ่านระหว่างเวลาที่เดินทางไปบ้านเพื่อน

ลมแรงพัดเข้ามา เรือนผมสยายแตกตัวเป็นเส้นสาย ละอองน้ำพักเข้ามาปะทะใบหน้า เป็นเวลาที่ฝนเริ่มบรรเลงบทเต้นรำ เวลาของความสุขสั้นกว่าที่คิด นารีไม่อยากอดกลั้น รถประจำทางสายเดิมหยุดจอดติดไฟแดงที่แยกนั้น แยกที่เธอมองเห็น หญิงคนหนึ่งถูกผลักล้มลงท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำ กองสมุดสามสี่เล่มกระจายตามพื้นที่นองไปด้วยน้ำคละคราบไคลถนน ชายร่างสูงเดินจากไป หญิงสาวช่างน่าสงสาร เสื้อสีขาวเปื้อนโคลนจากดินข้างถนนนั้น
นารีถูกปลุกจากภวังค์ด้วยเสียงและการสั่นตัวของโทรศัพท์

“สวัสดีครับ รี โทรมามิอะไรเปล่าครับ พอดีวางโทรศัพท์ไว้อีกที่หนึ่งหน่ะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้รับสาย” นารียิ้มเมื่อได้ฟังคำปลอบจากภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ความทรงจำสีหมองที่เธออยากลืม

“อ่านหนังสือเล่มนั้นดีๆนะ บางหน้ามัน...”

“เห็นแล้ว มีกระดาษของเธอสอดอยู่ นี่แหละที่จะโทรบอก ว่าเสี่ยวมากๆ ชอบฉันบอกฉันตรงๆสิ อายอะไรอยู่” นารีมองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างทางมีเพียงแสงไฟจากร้านรวงที่ทำให้ยามค่ำคืน ไม่มืดนัก

“อืม..อ่านหนังสือไปแล้วกัน ผมวางสายก่อนนะ จะทำงานแล้ว แค่นี้นะ”

“เดี๋ยว” นารีพูดยังไม่ทันได้ความ ปลายสายก็รีบวางไปแล้ว แต่อย่างน้อย เสียงของลิขิตก็ทำเธอลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่เธอกำลังสงสารหญิงคนนั้น คนที่เธออยาก

ลืมว่าเคยอ่อนแอ เคยคร่ำครวญถึงเรื่องราวเก่าๆที่ควรจลลงไปนานแล้ว เพียงเพราะการที่ไม่ได้รักกัน จะทนทำไม

“บทที่หนึ่ง เมื่อสายลมหนาวผ่านพัด....ชื่อเพราะดีแหะ เพิ่งรู้นะ ว่าเธอนี่มันอ่านหนังสือแบบนี้ด้วย” นารีเริ่มต้นอ่านหนังสือจากบทที่หนึ่ง เธอเริ่มอ่านหนังสือในคืนที่มีฝนพรำ ท่ามกลางฟ้าร้องที่เธอเคยกลัว เธอลืมไปแล้วว่า เสียงเมื่อสักครู่คือฟ้าร้อง เธอต้องกลัว เพียงเธอลืม

3 Comments:

Anonymous Anonymous said...

กว่าจะเปิดเปลือยเปลือกออกจนหมดสิ้น
ทั้งคู่อาจจะใช้เวลานานไป
เพราะแท้ๆแล้ว เหมือนทั้งคู่เคยมีหนอนร้ายไปแอบเจาะรู้ทิ้งไว้

ชักช้า อาจจะเน่าก่อนที่จะมีโอกาสเผยโฉมในอันเต่งงาม

/(-_-)\

9:41 PM  
Blogger เอกเอง said...

The Love in the City of Angel.
เรื่องรักแบบนี้ต้องกรุงเทพเท่านั้น เหอะๆ...

1:07 AM  
Anonymous แปลภาษาญี่ปุ่น said...

สงสัยจะเลยวัยอินเลิฟซะแล้วเรา เฮ้อ... ไปดูรถไฟฟ้ามหานะเธอท่าจะโดนกว่า

2:26 PM  

Post a Comment

<< Home