1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Sunday, December 31, 2006

สงบสุขในความฝัน

สิ้นเสียงนาฬิกาสั่นบอกเวลาสุดท้ายของศักราชปัจจุบัน อีกลมหายใจข้างหน้า จะมอบให้แก่ปีถัดไป ....ลมหายใจของผู้มีชีวิตรอด มันช่างน่าพิสมัยและเป็นที่ปรารถนาของผู้คนในเวลานี้ ในฐานะที่จะได้มีโอกาสรับรู้ความเป็นไปของสังคมที่ไม่มีวันล่วงรู้ได้เลยว่า ระเบิดจุดต่อไปจะเกิดขึ้นที่ได้ มีเพียงใจที่เฝ้ารอเท่านั้นว่า คงจะไม่ใช่ตนที่จะไดรับรู้ด้วยตัวเอง

มีความแตกต่างกันระหว่างอุบัติเหตุ กับก่อเหตุการณ์ร้าย ต่างกันตรงที่ความตั้งใจ และความบังเอิญ ความหวาดกลัวของผู้คนที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่เป็นอุบัติเหตุ จะส่งผลให้พวกเขาเหล่านั้น ระแวดระวังภัย มีสติ และดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท แต่ในเมื่อเสียงดังในวันนี้ ไม่ใช่เสียงพลุแห่งงานฉลอง แต่เป็นเสียงระเบิดที่คร่าชีวิตผู้คน ใครกันจะทันล่วงรู้ ว่านี่คือการก่อการร้าย

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ปรารภให้ฟังถึงเหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดของเขา เขาเอ่ยขึ้นว่า
“อยู่ที่กรุงเทพฯสบายกว่าเยอะ”
เพื่อนของข้าพเจ้าพูดถูก ที่นี่มีกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ แต่..มันไม่ได้ทันท่วงทีทุกครั้งหรอกเพื่อน เราต่างใช้ชีวิตในกองเพลิงสงครามเท่ากัน นายจำไว้

อีก 6 ชั่วโมง จะสิ้นปี พ.ศ.2549.เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่ใคร่แน่ใจนักว่า ใครเป็นผู้กระทำ เพราะศัตรูทางความคิดในปัจจุบันมีมากมายเหลือเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คือการทำลายบรรยากาศ และขวัญของผู้คน ที่จะเริ่มจดจำไปตลอดปีใหม่ที่กำลังจะเดินทางเข้ามา ความตายเข้ามามีบทบาทและเขย่าท่าทีของผู้นำประเทศ

7 จุดที่ได้รับรายงานว่ามีระเบิดไม่ทราบชนิดกำลังไหลออกจากปากผู้สื่อข่าวช่องต่างๆ ไม่นานจากนั้น รายชื่อของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ทยอยรายงานเข้ามาเป็นระยะ ข้าพเจ้าฟังรายชื่อแล้วให้ถอนหายใจ ที่รายชื่อเหล่านั้นไม่ใช่ญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก แต่ที่น่าอนาถใจยิ่งกว่า คือหนึ่งในนั้นคือเด็กน้อย อายุ 10 ขวบได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด เธอคือเหยื่อความโหดเหี้ยม ในคืนที่ทุกคนต่างพร้อมมอบความสุขให้กัน และยินดีเริ่มต้นกันใหม่ คืนส่งท้ายปีเก่า

จุดที่ 1 เกิดระเบิดย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ
จุดที่ 2 หน้าตลาดคลองเตย
จุดที่ 3 ใกล้แยกสะพานควาย
จุดที่ 4 ซอยสุขุมวิท62
จุดที่ 5 บริเวณห้างซีคอนสแคว์
จุดที่ 6 ระเบิดที่ย่านเยาวราช
จุดที่ 7 แมคโคร แจ้งวัฒนะ

หวังว่า จุดต่อไป จะคือจุดจบของผู้ก่อการร้าย..ฉันภาวนา.

Wednesday, December 20, 2006

แดดลวง

วันอาทิตย์สุดท้ายก่อนวันปีใหม่ ครอบครัวของนางสมัยดูจะเคร่งเครียดกว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เสียงเอ็ดตะโรดังลั่นมาจากปลายซอย ไม่ช้านักข้าวของอย่างหม้อ ครก และเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ ก็ระเกะระกะอยู่นอกบ้าน

บ้านไม้สองชั้นที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ บัดนี้ไม่เหลือเค้าของความอบอุ่นอื่นใดอีก นอกจากความร้อนระอุ ที่คู่ผัวเมียสุมใส่กันไม่หยุดหย่อน

เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงนวลตอง ไม่ช่วยให้สถานการณ์นั้นดีขึ้น“จะร้องทำไม หะ อีนวล” ชายคนหนึ่งกระแทกเสียงพร้อมกับกระหน่ำตีที่หลังและขา เด็กหญิงนั่งร้องไห้ไม่ลุกหนี ในมือยังกอดตุ๊กตาหมีขนปุยสีน้ำตาลผูกโบว์ลายทางสีแดงแนบอก

“อย่ามาลงกับลูกสิพี่” นางสมัยกระชากแขนชายผู้เป็นสามี ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ร่างของนางสมัยก็พับเพียบกองอยู่กับพื้นรองรับแรงโกรธของสามีด้วยการกระหน่ำตีไม่แพ้กัน

สองแม่ลูกโผเข้ากอดกัน เนื้อตัวสั่น สงครามครั้งนี้ ตุ๊กตาหมีจบชีวิตลง นุ่นกองกระจายออกรวมกับกองขยะที่ชายผู้เป็นพ่อสะบัดกำลังโถมทำลาย

เขาจากไปแล้ว

“แม่ หนูกลัว” นวลตองสะอื้นไม่หยุด สำหรับเด็กอายุ 7 ขวบ นี่ไม่ใช่ฝันร้ายของเธอ ภาพต่างๆจะถูกบันทึกในส่วนหนึ่งของจิตใจ

นางสมัยปลอบโยน ลูบผิวตามเนื้อตัว แขนขา นางเปิดเสื้อยืดของลูกสาว เห็นรอยฝ่ามือและจ้ำหยิกสีแดงมีเลือดซิบ น้ำตาของแม่พรั่งพรู เธอไม่น่าเลือกเขาเป็นพ่อใหม่ให้นวลตองเลย

“อย่าร้องนะลูกนะ เพี้ยงหายนะลูก” นางสมัยลูบเรือนผมบางๆของลูกสาว ย้ำคำให้ลูกใจชื้น บรรจงเป่าที่รอยแผล ไอร้อนๆจากปากของนางสมัย สร้างความอบอุ่นให้นวลตองมากขึ้น

นวลตองหลับไปในเย็นนั้น ในมือยังคงกอดซากตุ๊กตาหมี นางสมัยเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายไปทั่ว พี่ชายที่เพิ่งกลับบ้านเข้ามาถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ผัวเอ็งเอาอีกแล้วรึ มันเมาทีไรเป็นอย่างนี้ทุกทีซิน่า ตอนดีๆข้าก็เห็นมันเงียบๆ ไม่มีอะไร แล้วนังตองเป็นไงบ้าง มันร้องไห้โฮเลยสิ” นายสำเริงยืนเท้าเอวหน้าบ้าน ในมือยังถือมีดดายหญ้า เครื่องมือที่ไปรับจ้างมาตั้งแต่เช้ามืด

นางสมัยไม่เอ่ยตอบอะไร เรื่องมันล่วงเลยไปไกลเกินกว่าจะแก้ไขได้โดยง่าย หนทางที่จะอยู่รอดคืออดทน อดทนเพื่อลูกสาวคนเดียว

“แม่จ๋า ทำไมพ่อถึงเกลียดหนู” สายตาของนวลตองไม่ได้บ่งบอกว่าอยากรู้มากนัก เพียงแต่สับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่พ่อเมาอยู่บ้านในวันอาทิตย์ จะต้องหาเรื่องโวยวสยอยู่เสมอ

อีกไม่กี่วันจะถึงวันปีใหม่แล้ว นวลตองเขียนคำขอของขวัญไว้ในสมุดเล็กๆที่ทางโรงเรียนให้ทำ“ขอให้พ่อเลิกตีหนู”

นางสมัยได้แต่ร้องไห้เมื่อลูกสาวตั้งคำถามเช่นนี้ นางไม่กล้าเอ่ยความจริงว่า นวลตองเป็นลูกที่เกิดจากการถูกข่มขืนจากชายแปลกหน้าที่เข้ามารุมทำร้ายเธอ พ่อที่แท้ของนวลตองคือใคร นางสมัยไม่กล้าคาดนึก

ในวันปีใหม่ ไม่มีเงาของสามีนางสมัย นางแน่ใจแล้วว่า คงถูกตัดขาด เพราะรู้ข่าวมาว่า เขาไปติดพันแม่ค้าขายดอกไม้แถวปากคลองตลาด ลึกๆนางดีใจที่รอดพ้นจากความรักที่ลวงหลอกมาเป็นเวลานาน กับข้อพิสูจนในคำที่แสนเจ็บปวด

“พี่จะรับเป็นพ่อให้ลูกในท้องเอง”

นางสมัยมักจะนั่งเหม่อที่บันไดบ้าน หลังจากปอกสายบัวเป็นเส้นสายขาวอวบรอท่าหั่นแล้วล้างมัดใส่ถุง นวลตองเป็นเรี่ยวแรงสำคัญนับจากนั้น นอกจากกำลังใจแล้ว นางสมัยยังต้องการกำลังกาย เธอเพลียอ่อนเรื่อยมาด้วยอาการปวดหัวเข่าที่เริ่มกำเริบอีกครั้งหลังจากเมื่อ 7 ปีก่อนที่เธอถูกฟาดที่ขาอย่างหนักในคืนที่ต่ำทรามที่สุดของชีวิตลูกผู้หญิง

“แม่จ๋า นี่ไงตุ๊กตาของหนู” นวลตองนั่งมัดหัวตุ๊กตาหมีที่ขาดวิ่นด้วยหนังยาง กลายเป็นหัวหมีที่มีปุ่มปมมากมาย นางสมัยอดขำไม่ได้ที่มองเห็นความพยายามของลูก

“มานี่ลูกมา ไปหยิบกล่องเข็ม เดี๋ยวแม่จะเย็บให้ใหม่” นางสมัยหยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมาดู ตุ๊กตาที่ชายคนรักเคยซื้อให้นวลตองเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่ช้า นวลตองหยิบกล่องเข็มมาให้ พร้อมกับนั่งมองตาแป๋วด้วยใจจดจ่อ เพราะนี่คือตุ๊กตาเพียงตัวเดียวที่นวลตองมี เธอกอดมันไว้ทุกคืน เป็นของเล่นเพียงชิ้นเดียวที่นวลตองมีอยู่

ด้ายสีขาวไม่เข้ากับขนปุยสีนำตาล นวลตองยินดีไม่เกี่ยงงอนที่ด้ายคนละสีทำให้ตุ๊กตาของเธอดูแปลกตาไป เพียงให้หัว ตัว แขนและขาติดกันให้คล้ายสภาพเดิมที่สุดเป็นพอ

วันเสาร์สิ้นปี
“อ้าวนังหมัย วันนี้มาส่งเองรึ ผัวไปไหนล่ะ” ยายดมทักปากแดง น้ำหมากไหลย้อยด้วยแกไม่มีฟันเหมือนสาวๆ
“ไม่รู้จ๊ะป้า ไปหาพ่อหาแม่มั้ง” นางสมัยชั่งสายบัวบนกิโลให้ยายดมมอง
“เออ...ผัวไปไหนทั้งคนไม่รู้ ระวังเถอะ ลูกมันจะจำหน้าพ่อมันไม่ได้” ยายดมถุยน้ำหมากลงบนพื้น สะเก็ดน้ำหมากกระเด็นมาถูกเท้าของนวลตองเห็นเป็นหยดสีแดงคล้ายเลือด
“10 กิโลนะจ๊ะป้า ขอบใจจ๊ะ” นางสมัยตัดบทแล้วจูงมือนวลตองออกจากตลาด ตรงลิ่วไปยังร้านขายโจ๊กที่ท่าน้ำ
“กินผักด้วยสิลูก ขิงนี่กินแล้วไล่พยาธินะ” สองแม่ลูกกินโจ๊กชามเดียวกัน วันนี้เธอสั่งพิเศษ ใส่ไข่ลงไปด้วย
“พ่อ”นวลตองเรียกพ่อเสียงลั่น ในปากยังมีโจ๊กอยู่เต็ม นางสมัยหันหน้าไปทางที่ลูกมอง เธอเห็นชายคนนั้น กำลังเรียงดอกกล้วยไม้ที่กำรวมกับใบเตยในกระป๋องพลาสติก ที่ร้านติดป้ายไว้ “วันนี้วันพระ”

นายชิตหันหน้ามาหา แล้วเดินมายังร้านขายโจ๊ก “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หมัย มาส่งสายบัวรึ” นายชิตขมวดคิ้วเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆจากคู่สนทนา
“วันสองวันจะไปเก็บของ ...เราอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ให้หลังปีใหม่ไปก่อน เก็บของให้ด้วยแล้วกัน เอาที่จำเป็น อันไหนไม่เอาก็เผาไฟไป ไม่อยากหอบกลับมามาก เลือกๆให้แล้วกัน” นายชิตหันหลังไม่มีเยื่อใย นวลตองมองตามเห็นพ่อกำลังพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านขายดอกไม้

“แม่ พ่อเขาไม่อยากอยู่กับเราแล้วหรือ” เด็กหญิงเอ่ยถามเบาๆ เพียงเท่านั้นก็เพียงพอให้น้ำตาของนางสมัยไหลหยดเป็นสายนางสมัยนึกถึงเรื่องราวครั้งเก่า กับความหวังมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่เธอถูกทำร้าย ชายคนรักไม่รังเกียจที่จะมอบอนาคตใหม่ให้กับเธอ และลูกในท้องที่เกิดจากความเลวร้ายของจิตใจคน

“ถึงอย่างไรพี่ก็รัก สมัย..นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย ลูกในท้องพี่จะรับเป็นพ่อเองไม่ต้องกังวลไปนะ ทำใจให้สบาย เราจะมีครอบครัวด้วยกัน” นายชิตขอนางสมัยอยู่กินเมื่อรู้ข่าวว่าเธอตั้งท้องได้เดือนเศษ

ตะวันที่ขึ้นมาในตอนเช้าเคยเป็นความหวังให้กับเธอ และกล้าไม้นานาในร่องสวน นางสมัยมักอมยิ้มเมื่อเห็นชายคนรักดายหญ้าในสวน มีเธอทำกับข้าวรออยู่ที่บ้าน ท้องแก่ของเธอทำให้เธออุ้ยอ้าย เธอก็เต็มใจปรนนิบัติ เพื่อตอบแทนความรัก และความหวังที่ผู้ชายคนหนึ่งมองให้อย่างหมดใจ

ไม่เพียงทำให้ต้นไม้เติบใหญ่ ความร้อนกล้าของแสงแดด ดูเหมือนจะกร่อนทำลาย ช่วงชีวิตของเธอ ไม่นาน อุดมการณ์ก็แพ้ความรู้สึกที่แท้

นายชิตไม่ใช่ผู้ชายคนก่อน เขาเหมือนคนแปลกหน้าที่นางสมัยตั้งคำถามทุกครั้ง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นับจากวันที่นวลตองเกิดขึ้นมา นายชิตไม่เคยแสดงความรักดังเช่นเคย

เธออยากให้แดดเมื่อปีก่อนเป็นเพียงหลอดไฟเก่าๆ ไม่สว่าง ไม่ชัดเจน เพื่อเธอจะได้แสวงหาความสุขจากความมืดมนไม่ชัดเจนบ้าง

“แม่จ๋า ของขวัญวันปีใหม่จ๊ะ” นวลตองส่งกล่องของขวัญมาให้ ในนั้นเป็นเทียนไขสีเหลือง ตราช้างคู่ “เอาไว้ใช้ตอนไฟดับไงจ๊ะแม่”

นางสมัยสวมกอดลูกสาว เธอสับสนในความรักและความชัง ครั้งหนึ่งเธอเคยเกลียดก้อนเนื้อก้อนนี้ ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นพลังความหวังของเธอเหลือเกิน.

Monday, December 18, 2006

เมื่อฤดูหนาวมาถึง





1.
ที่บ้านของฉันมีเพิงไม้
ลมฝนเมื่อวันก่อนทำหลังคาพังยับ
เมื่อคืนฉันมองเห็นจันทร์สวย
ดึกหน่อยลมโกรก ฉันหนาว

2.
แม่บอกกับฉัน
เป็นผู้นำต้องกล้าหาญ
ฉันอยากเติบใหญ่เป็นผู้นำ
ที่มีความพอเพียง

3.
ฉันออกเดินทาง
เพื่อเสาะหา..และเรียนรู้
หนทางที่ทำให้คืนนี้บ้านของฉัน
อบอุ่นให้แม่ไม่หนาวสั่น

4.
นั่นไงทางมะพร้าว
ช่างใหญ่ยาวเสียจริง
แม่คงภูมิใจเจ้าลูกอย่างฉัน
ตะวันยังไม่คล้อยฉันจะลากมันกลับบ้าน

5.
ท่านผู้นำ..ท่านผู้นำ
ฉันคิด คำนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ฉันใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด โถมเข้าใส่
เพื่อบ้านของเรา

6.
ค่ำคืนแสนหนาวหลังฝนซา
จะมีกี่บ้านกันหนาเข้าถึงลิ้มรสนั้น
ความหนาวที่รั้งดึงให้ผิวกาย
ระริกรัวสะอื้นสะอึก

7.
ฮุยเล่ฮุย..เอ้า..ฮุยเล่ฮุย
ตะวันจวนค่ำแม่ฉันร้องหา
เดี๋ยวนะแม่จ๋า
เป็นผู้นำต้องอดทน

8.
เสียงระงมดังลั่น
เสียงแม่ดังสั่นหัวใจลูกเหลือแสน
ความหนาวดอกหรือ ฉันละทิ้งทางมะพร้าว
ก้าวต่อก้าวไม่รอรี..........................แม่

9.
เอ้งอ๋างดังสักครู่
นาทีนี้ฉันหนาวยิ่งกว่าหนาว
แม่หลับบนถุงกระสอบ..แม่คงอุ่นดีแล้ว
เพียงพริบตา เขาทั้งหมดก็จากไป

10.
เพิงหมาแหงน
คืนนี้มีดาวระยิบ ฉันนอนหนาว
เนื้อตัวสั่นคืนนี้ไม่มีแม่ให้เคียงเกยเบียดกายอุ่น
สักวันแม่จะกลับมาไหม อยากให้แม่เห็นบ้านใหม่ของเราจัง

Thursday, December 14, 2006

ความสุขอย่างหนึ่ง



ในสภาพแวดล้อมที่บ่มสอนให้เห็นแก่ตัว แย่งชิง และเอาตัวรอด ในสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบ และนาฬิกา มีค่ามากกว่าผิวที่สัมผัสรับรู้ความเข้มอ่อนของแสงตะวัน

ยังมีพื้นที่เล็กๆที่ นวลตอง รู้สึกว่า นาฬิกาไม่มีค่าความหมายอันใดเลย

นวลตองเป็นหญิงสาวร่างเล็ก เธอมีความหวังที่จะมีครอบครัวของตัวเองตามแบบความคิดของเด็กสาวทั่วไป ไม่ง่ายอย่างนั้น นวลตองมีภาระหน้าที่หลากหลาย

เธอทำงานบริษัทในตำแหน่งเสมียน พิมพ์จดหมายและยังพ่วงหน้าที่ธุรการอีกนอกจากนี้งานพิเศษของเธอคือ เป็นพนักงานต้อนรับให้กับโรงแรมจิ้งหรีดแถวบ้านหลังเลิกงาน

ทุกวัน..ใบหน้าของนวลตองมีแต่รอยยิ้ม เธอยิ้มให้เพื่อนร่วมงานและลูกค้าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างชาติ รอยยิ้มของเธอทำให้เป็นที่รู้จัก ฟันที่หลุดหลอ สร้างอารมณ์ขันให้ผู้พบเห็น ไม่มีใครใส่ใจหรอกว่า หญิงสาวคนนี้ จะมีฟันครบทุกซี่หรือไม่ ไม่มีใครสนใจกันมากขนาดนั้น เพียงแค่ต่างคนต่างทำในหน้าที่ของตนเอง เท่านั้นก็พอแล้ว

“วันนี้หน้าแกหมองๆ นะตอง เมื่อคืนอยู่ดึกรึ” เจ้เฮี้ยงร่างตุ๊ต๊ะ ขยับร่างไปมาขณะยกแก้วซดกาแฟเสียงดังลั่น“ก็ช่วงนี้คนมาเที่ยวกันเยอะ มันจะปีใหม่แล้วงานหนักหน่อยนะจ๊ะ กลับบ้านไป ก็ไปทำงานบ้านที่ค้างไว้ ตอนนี้แม่เดินไม่ค่อยได้ กว่าจะได้นอนก็จะตีสองแล้วพี่” นวลตองเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วกางร่างจดหมายที่ต้องพิมพ์ในวันนี้“หน้าโทรม” เจ้เฮี้ยงเบ้หน้าพร้อมทั้งกลืนกาแฟอึกสุดท้าย

นวลตองไม่สนใจการกระทำที่เกี่ยวข้องกับความสวยของเธอ แม่ของเธอปลอบโยนที่เธอเคยตัดพ้อน้อยใจขอเงินไปใส่ฟันปลอม หลังจากที่เธอประสบอุบัติเหตุหลังจากที่ฟันแท้เพิ่งขึ้นมาไม่นานนัก

“คนที่เขาเกิดมาพิการ มือตีนด้วน เขาน่าสงสารกว่าเราอีก เรามือตีนดีเท่านี้ก็ดีแล้วลูกเอ๊ย” นางสมัยปลอบลูกเป็นประจำ จนเมื่อสาม สี่ปีก่อนหลังจากที่นวลตองอายุครบยี่สิบ นางจึงเลิกพูด เพราะลูกสาวไม่มีทีท่าว่าจะรบเร้าขอเงินไปทำฟันปลอมอีก

“นี่นี่ตอง.ได้ข่าวว่าโรงแรมที่เธอทำหน่ะ มีคนมาขายตัวหลังร้านหรอ นี่ถ้าได้เรื่องรู้เห็นอะไรมาเล่าให้ฉันฟังบ้างสิแก ฉันอยากรู้” สายตาสอดเห็นของฉวีสอดรับกับไฝกลมดำเด่นเหนือฝีปากบน

ฉวีเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของนวลตอง รับรู้เรื่องราวของเธอมาตั้งแต่ต้นจนจบ ภายใน สองปีที่รู้จักกัน ไม่มีใครรู้เรื่องของนวลตองได้ดีในเวลาอันสั้นเท่าฉวี นอกจากนวลตองแล้ว ฉวียังรู้จักกับคนในบริษัทชนิดที่เรียกว่ามากกว่าเพื่อนสนิทจนค่อนไปทางญาติผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ

“ไปเอาข่าวมาจากไหน ขายตงขายตัวอะไร โรงแรมเล็กๆแบบนั้น มานอนอย่างเดียวก็คุ้มเกินพอแล้ว ค่าเช่าแสนถูก จะไปมีอะไรแบบนั้นทำไม ถึงมีใครเขาจะเข้าร้าน ไม่ได้เปิดแบบอาบอบนวดนะจะได้จัดดร้านให้น่าเข้าน่ะ” นวลตองพักสายตาจากงานพิมม์ หันหลังมาคุยกับเพื่อนเสมียนด้วยกัน

“ข่าวเขาลือกันให้แซด ระวังเหอะจะโดยไอ้พวกนั้นมันหลอกเอา ฉันงี้ไม่ไว้ใจพวกมันเลย ผู้หญิงอย่างเรามีแต่จะเสียเปรียบนะแก่นะ” ฉวีลากเสียงหนักกว่าเก่า แสดงอาการใคร่รู้เรื่องที่เธอคิดว่านวลตองรู้มากกว่า สายตายังคงมองขึ้นลงบนร่างที่บอบบางไร้เรี่ยวแรงของนวลตอง พรางเอ่ยว่า “แต่ผอมแห้งอย่างแก ก็คงไม่มีใครเอาหรอกมั้ง ถ้าอย่างฉันล่ะไม่แน่”

“อยากมีหรือไงล่ะ จะติดต่อให้” นวลตองพูดยิ้มสัพยอก“โอ๊ย...ไม่หรอกย่ะ ลำพังผัวคนที่นอนด้วยเนี่ยฉันก็หมดแรงจะไปทำอย่างอื่นแล้ว คนอาร๊ายเอาได้ทั้งคืน เนี่ยฉันอยากมีลูกจะตายไป ท้องแล้วจะได้พักบ้าง มีผัวไปจนแก่ตายไม่มีลูกไว้ใช้สอย พอดีแก่ตัวลำบาก แต่มาคิดๆ ท้องแล้ว มันคงไปเอาคนอื่นล่ะมั้ง” ฉวีพูดคุยออกรสชาติ

นวลตองหน้าชา เธอไม่คุ้นนักกับเรื่องครอบครัว หนุ่มสาว ความรักและความใคร่ อายุของเธอล่วงเลยมาเข้า 28 ปีแล้ว เธอยังไม่เคยมีคนรักอย่างใครอื่น เธอคิดว่าสักวันอาจมีคนที่มองข้ามรูปร่าง และความจนกับความรู้วุฒิ ปวส.ของเธอไปได้ เธออยากมีคนรัก

“อีหลอ .. อีหลอ .. อีหลอ”เสียงล้อเลียนจากเพื่อนชายคนหนึ่ง ยังคงฝังจำอยู่ในใจของนวลตอง

“หลอรี่ ไปกินข้าวกัน” นวลตองหันหน้าไปยังต้นเสียง เธอมีสีหน้าเหยเกทันที ไม่รับรู้รอยยิ้มที่ต้นเสียงส่งมาให้

“ไม่หิวหรือครับคุณนวลตอง หรือจะอดข้าว ไม่เอาน่า ผอมจนจะเป็นไม้เสียบผีอยู่แล้ว จะให้กระดูกมันโผล่ออกมาเลยหรือไง” ต้นเสียงยังคงเซ้าซี้ชักชวน

“ไปกับฉันก็ได้นะ กวิน” ฉวีเก็บของบนโต๊ะหยิบกระเป๋าเงินใบเล็ก และสวมรองเท้าฟองน้ำเตรียมตัวพักกลางวัน“เออ..” กวินหันหน้ามาที่นวลตองพร้อมสะกิดหยอก “ ไปสิ หลอศรี แม่คนสวย เก็บของ ไปกินข้าว ถ้าไม่มีเงินเดี๋ยวให้ยืม” กวินยิ้มยียวน

ปมด้อยของนวลตองเรื่องรูปร่างที่ผ่ายผอม และฟันหน้าที่ไม่ครบนัก ทำเธออับอายเป็นระลอก แล้วแต่ความพอใจของใครอื่นที่จะนึกพูดขึ้นมา ทำให้นวลตองไม่กล้าคิดถึงเรื่องความรัก ทั้งที่มันเกิดขึ้นกับเธอนานแล้ว

กวินเป็นเพื่อนที่วิ่งเล่นกันมาตั้งแต่ประถม ตอนที่ฟันหน้าของนวลตองหัก กวินอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ฟันแท้ของนวลตองต้องมาสิ้นอายุเสียตั้งแต่อายุได้ 12 ขวบ ในงานโรงเรียนที่เธอเรียนจบ ประถม 6 กวินขว้างลูกบาสเกตบอลใส่เพื่อนอีกคน แต่ไปโดนนวลตองล้มหน้าฟาดพื้น ผลคือฟันแท้ที่เพิ่งขึ้นมาไม่นานดีนัก โยกและหลุดหลอจนทุกวันนี้

เสียงร้องไห้ของนวลตองยังดังมาถึงปัจจุบัน เธอไม่โกรธกวินเลย เพราะกวินเป็นคนเดียวที่คอยชกต่อยเพื่อนคนอื่นๆที่ว่าเธอ

“อีหลอ..อีหลอ...อีหลอ”

นวลตองไม่อยากได้ชื่อนี้ เธอเก็บเงินเพื่อเอาไปเป็นค่ารักษา ทำฟันปลอมเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดุตา สะดุดใจของใคร จนแล้วจนรอด เงินที่พอจะเก็บได้ถึงร้อย ก็เหลือศูนย์เมื่อข้าวในปี๊บเริ่มหมดลง ทุกครั้งเงินของนวลตองจะถูกดึงมาใช้ซื้อข้าวสารและไข่ ไม่เคยเลยที่มีเหลือพอถึงฝั่งฝัน ฝันที่จะมีรอยยิ้มบนเรียวฟันที่ขาวน่าประทับใจ มิใช่แหว่งโหว่ดูน่าขำแบบนี้

เงินพิเศษของนวลตองออก

เธอรับซองจากเจ้เฮี้ยง ในนั้นมีธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาท จำนวนสิบใบ เธอทำงานนอกเวลาให้กับบริษัท เงินจำนวนนี้เป็นค่าแรงที่มากกว่าทุกเดือน เธอจะเอาเงินไปทำฟัน

นวลตองเคยถามราคาค่าทำฟันปลอมหนึ่งซี่ราคาสองพันบาท เงินเก็บนี้ยังห่างไกลความจริง

“ตอง โกรธหรือเปล่าเนี่ย ขอโทษที่เรียกชื่อนั้นไป ตอง เฮ้ยขอโทษ ได้ยินไหม” กวินโทรมาขอโทษที่โต๊ะทำงาน นวลตองได้แต่เงียบเฉย

เธอวางโทรศัพท์ไปทั้งที่ยังไม่ได้ตอบกลับคำใดยังปลายสายเลย ประกายที่ดวงตา บ่งบอกว่าเธอไม่โกรธ รอยยิ้มที่มุมปากบอกว่าเธอมีความสุข

นวลตองเดินผ่านคลีนิคทำฟัน อีกไม่ช้าเธอจะได้เข้าไปทำฟัน ทำฝันของเธอให้เป็นจริงเสียที

“ไอ้ตอง เป็นอะไรไปวะ โทรไปก็ไม่พูด โกรธอะไรนักหนา ก็น่าจะรู้ว่าล้อเล่น” กวินวิ่งตามมาถึงหน้าคลินิค“ไม่ได้โกรธ นี่อีกหน่อยฉันจะทำฟันแล้วนะ เก็บเงินพอได้แล้วล่ะ ต่อไปไม่มีหลอรี่ของแกแล้ว วินเอ๊ย” นวลตองพูดยิ้มๆ“แกคงสวยขึ้นนะ” กวินเอ่ยขึ้นมาเบาๆ“ฉันไม่ได้อยากสวยหรอก แค่อยากบดเคี้ยวอาหารให้ดีกว่านี้ ลำบากนะจะเคี้ยวอะไรที แล้วก็ไม่ชอบเวลาคนมาโจมตีปมด้อยของฉัน มันสนุกนักหรือไงก็ไม่รู้”

กวินเดินมาส่งถึงปากซอยบ้าน ในวันที่นวลตองไม่ได้ไปทำงานที่โรงแรมจิ้งหรีด เพราะโรงแรมถูกปิดตรวจสอบ 1 วัน สำหรับนวลตองรายได้พิเศษไม่สำคัญเท่ารายได้หลัก ไม่ทำงานเธอก็กลับมาดูแลแม่ แม่พับถุงกระดาษขายเจ้ทุมขายกล้วยแขก ได้วันละ 10 บาท วันนี้เธอจะพับถุงกระดาษ

“ตอง...ฉันขอโทษ”“เรื่องอะไร ถ้าเรื่องตอนเด็กๆล่ะก็ ลืมมันไปเถอะ ฉันลืมมันไปนานแล้ว”“ขาดเงินอีกเท่าไหร่ จะเอามาให้ คราวนี้ล่ะ จะได้ไถ่โทษเต็มๆเสียที”“มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าคิดมากเลย ไปแล้วล่ะ แม่รอกินข้าว คืนนี้จะช่วยแม่พับถุงกระดาษหน่อย”


กวินและนวลตอง แยกย้ายกันกลับบ้าน ทิ้งเรื่องคาใจเอาไว้ทั้งสองคน

ที่จริงวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของกวิน นวลตองมีของขวัญมาให้ มันคือกระเป๋าถักสีเทาฟ้า สีที่กวินชอบ มันยังนอนซุกตัวอุ่นอยู่ในกระเป๋าของเธอ เธอตั้งใจว่าจะมอบให้เหมือนเช่นทุกปี ทว่าปีนี้ บางสิ่งที่พิเศษในใจของเธอ ดูท่าจะไม่ได้เป็นความลับอีก นวลตองสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของชายหนุ่ม ผู้เป็นเพื่อนคนนี้

ไม่นานนัก เงินสะสมของนวลตองพอกเพิ่มจนสามารถบันดาลฝันซี่สวยให้เธอได้ดังใจ อาศัยเวลาเย็นของวันเสาร์หลังเลิกงานครึ่งวัน เธอเดินเข้าร้านทำฟันได้อย่างมีความหวัง

เพียงสองชั่วโมง ฟันหน้าที่ขาดหาย ก็เติมเต็มให้ดูปกติ ไม่หลอขาดอย่างที่เคยเป็น เธอยิ้มให้ตัวเองในกระจก “นวลตองคนใหม่”

เจ้เฮี๊ยงทักเป็นคนแรก นอกจากเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลแล้ว เจ้เฮี๊ยงยังเป็นกระบอกเสียงให้กับบริษัทอีกด้วย ข่าวการทำฟันของนวลตอง ดังเสียยิ่งกว่าข่าวการยกเลิกการขายหวยบนดิน กวินได้ข่าวนี้จากเจ้เฮี๊ยงเช่นกัน

“ไหนยิ้มสิ ตอง แหม สดใสกว่าเดิมอีกนะ” ฉวีเม้มปากขณะเชื้อเชิญให้นวลตองส่งประกายยิ้มรับซี่ฟันที่เพิ่งถูกเติมเต็ม

“พอแล้วๆเหงือกแห้งพอดี กะอีแค่ไปทำฟันมา ทำไมต้องเม้าท์กันให้แซดด้วยเนี่ย มาดูข่าวความคืบหน้าของคณะรัฐประหารดีกว่า สามเดือนแล้วนะ ดูสิมีผลงานอะไรบ้าง”นวลตองเฉเรื่องไปการเมืองบัดเดี๋ยวนั้น รอยยิ้มบนแก้มคนละเรื่องกับข่าวที่เธออ่าน เพราะนั่นเป็นข่าวการเมืองที่น่าสังเวชใจ ตรงกันข้ามกับข้างในใจของเธอที่พองโต เมื่อมองเห็นความธรรมดาบนใบหน้า ที่จะไม่ใครล้อว่า อีหลอ ได้อีก

กวินไม่ได้มากินข้าวกับนวลตองและฉวี เขาหายไปนาน หัวหน้าฝ่ายส่งเขาไปติดต่องานที่ต่างจังหวัด

โรงแรมจิ้งหรีดถูกตกแต่งให้น่าเข้ามากขึ้น มีลูกค้ามากขึ้น นวลตองเป็นที่รักของทั้งเพื่อนร่วมงานและแขกที่มาพัก

“อ้าว กวิน มาทำอะไรที่นี่ ดึกดื่นป่านนี้ไม่กลับบ้าน” นวลตองตกใจที่เห็นชายที่มายืนเบื้องหน้าไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นเพื่อนของเธอเอง

“ตอง เลิกงานแล้วของพูดอะไรหน่อยสิ”“พูดตอนนี้เลย ไม่ชอบค้างๆคาๆ ว่ามา ลูกค้ากำลังโล่ง”

“ตอง ชอบไอ้ผู้จัดการตือบะนั่นหรอ”“ใคร...เฮียเหวงหรอ......ไปว่าเขาตือบะ ถ้าเขามาได้ยินนะ มีหวังโดนด่าสิ”“ใครเขาจะไปว่าตอง เขาออกจะรัก”“แล้วคิดว่าฉันรักเขาหรือไง”

ชายหนุ่มจ้องหน้าหญิงสาวไม่วางตา

“ฉันชอบแกหว่ะตอง”“..............................”

กวินพานวลตองมาที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนวัดไผ่สีสุก โรงเรียนที่จบมาด้วยกัน และเป็นโรงเรียนที่เป็นจุดเริ่มของเรื่องราวทั้งหมด เรื่องของนวลตองกับฟันที่หายไป

“ตรงนี้ใช่ไหมที่ไอ้ห่านมันจะแกล้งตอง”“ใช่ ตอนนี้มีชิงช้ามาตั้งแทนแล้ว”“ทีแรกกะว่าจะเอาลูกบาสฯปามันให้มึนก่อนจะเข้าไปเตะมันสักที แต่ที่ไหนได้ เล็งพลาด โดนเธอซะอย่างนั้น หลอเอ๊ย...เจ็บตัวเลย” กวินลูบผมสาวคนรักพร้อมเขย่าไปมาเล็กๆ

“มีอะไรจะแก้ตัวไหม”“ไม่มีครับ...ผมขอรับความผิดพลาดทุอย่างเอง”

“งั้นดีแล้ว เอาฟันปลอมเธอออกซะ ถึงตาที่เธอต้องเป็นไอ้หลอบ้าง” นวลตองจ้องหน้าพร้อมกับบีบมือแน่น

ฟันปลอมแบบถอดได้ของกวินอยู่ในกำมือ ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น ราวกับว่า ได้ดึงให้เขาและเธอไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

“อีหลอ...อีหลอ...อีหลอ”“มึงด่าใครอีหลอ” เด็กชายกวินกระชากเสื้อเพื่อนนักเรียนเจ้าของคำ อีหลอ

“แล้วมึงเสือกอะไร” เพื่อนนักเรียนท่าทางกวนประสาทผลักอกแล้วกระชับเสื้อเข้าที่“ถ้ามึงด่าตอง มึงขอโทษมาเดี่ยวนี้”“ก็ไม่พูด มีไรมะ ไอ้ควาย”

ควายเป็นสัตว์น่ารักที่กวินชอบมาก แต่การที่มีคนมาชี้หน้าด่าว่าไอ้ควายทำให้เกิดความโมโหทวีเข้าไปอีก ไม่ใช่เพราะเปรียบตัวเหมือนควาย ทว่ามันเป็นคำดูแคลนอดีตลูกชาวนาคนหนึ่งเท่านั้น

หมัดแลกหมัด

ตีนตอบตีน

กวินพูดไม่ชัดไปนาน ฟันหน้าสองซี่หัก

ฟันปลอมมาสวมรอยทับ กวินโชคดีกว่าที่พ่อแม่เขาขายที่นาได้พอมีเงินร่ำรวยจับจ่ายกว่าแต่ก่อน

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

“ดูเด็กลงเลยล่ะ..วิน”“บ้าฉิ พูดก็ไม่ชัก จะชมเธอว่าฉวยฉะหน่อย ฮิฮิ”

“ทีหลังก็ไปทำแบบถอดไม่ได้สิ จะได้ไม่ต้องตามใจฉันแบบนี้” นวลตองยิ้มตาหยี และหยิบถุงถักที่ตั้งใจจะให้เมื่อวันเกิดของกวินที่ผ่านมาจวนจะครึ่งปีแล้ว

กวินรับและหอมแก้มนวลตองเป็นของขวัญตอบแทน

“ใฉ่ได้ยังอ่ะ ตอง มันโล่งๆไงไม่รู้ ไว้วันหลังค่อยถอดใหม่นะ”

“จ๊ะ ตกลง”

“วิน !! ถ้าวันหลังเธอดื้อมาล้อเลียนล่ะก็ จะถูกถอดฟันไปปาทิ้งน้ำนะ”“จ้า...แม่นวลตองยิ้มสวย...รู้อะไรไหม ต่อให้ตองฟันหลอ วินก็ชอบนะ ชอบมานานแล้ว” คราวนี้นวลตองถูกหอมฟอดใหญ่

พื้นที่เล็กๆที่ นวลตอง เกิดขึ้นแล้วในใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกว่า นาฬิกาไม่มีค่าความหมายอันใดเลย นี่ผ่านมานานเท่าใดกัน รอยยิ้มที่มีฟันสวย หรือหลุดโหว่ ยังเป็นที่ต้องการของเขาอย่างเดิม

ความสุขอย่างหนึ่งที่เกิดจากรอยยิ้มของคนรักกัน ที่ยอมรับในข้อบกพร่องของกัน คงพอแล้วที่จะเรียกว่าสิ่งมีค่า ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมที่มีความเห็นแก่ตัว

“ไปกินอะไรกันดีจ๊ะตอง”“ตองอยากกินกาละแมหน่ะ ไม่ได้กินนานแล้ว”


**************************************

Sunday, December 10, 2006

หมุดก่อเกิด รัฐธรรมนูญบนผิวถนน




บนถนนราชดำเนินที่ชาวราษฎร์ได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง มาเป็นเวลายาวนานถึง 74 ปีในปีนี้ (พ.ศ. 2549) บางช่วงของผืนถนนถูกฉาบไว้ด้วยคราบน้ำตา คราบเลือด และร่างไร้วิญญาณ บนการเรียกร้องการปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน ต่อเมื่อได้รัฐธรรมนูญแล้วกลิ่นคาวเลือดดูจะจืดจางลง จางลงไปเรื่อยๆ แต่เมื่อคราใดที่เกิดความไม่ชอบธรรมขึ้นกับการปกครองในระบบประชาธิปไตย กลิ่นคาวเลือดที่แห้งหายจากถนนสายนี้ กลับพลิกฟื้นคืนร่างให้สีถนนแดงชาดอีกครั้ง

และสิ่งหนึ่งที่ตรึงตอกอยู่บนถนนสายนี้เป็นเวลายาวนานเท่ากับการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั่นคือ หมุดคณะราษฎร

การปกครองของไทยเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ (รัฐ + ธรรม + มนูญ คือ การปกครองรัฐอย่างถูกต้องเป็นธรรม) โดยคณะราษฎรเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ภายหลังการปฎิวัติ คณะราษฎรได้สร้างหมุดแห่งการปฏิวัติขึ้น เป็นหมุดทองเหลืองขนาดเล็กฝังอยู่บริเวณด้านข้าง ลานพระบรมรูปทรงม้าฝั่งสนามเสือป่า ซึ่งเป็นจุดที่พระยาพหลพลพยุหเสนายืนอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 แก่เหล่าทหารเพื่อเป็นสักขีพยานต่อการทำการปฏิวัติครั้งนั้น

เนื้อความบนหมุดจารึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีข้อความว่า “ ณที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ”

ต่อมาในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาฯโปรดเกล้าพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเป็นครั้งแรกภายหลังที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเป็นวันแรกของการฉลองรัฐธรรมนูญ โดยในปีแรกนี้ จัดขึ้น 3 วัน นอกจากงานพระราชพิธีแล้วยังมีงานมหรสพต่างๆซึ่งจัดขึ้นที่ท้องสนามหลวง

งานฉลองรัฐธรรมนูญถูกจัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความสำคัญต่อการให้ความรู้ ความเข้าใจต่อประชาชน ในเรื่องของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ควรศึกษาและทำความรู้จัก ภายหลังที่การปกครองถูกเปลี่ยนมือจากกษัตริย์มาเป็นประชาชนด้วยกันเอง งานฉลองรัฐธรรมนูญนี้จึงเป็นงานที่นอกจากจะให้ความรื่นเริงดั่งเทศกาลประจำปีทั่วไปแล้ว ยังมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ และทำความหมาย ความเห็นให้ตรงเพื่อการปกครองที่เสมอภาค

ภัยจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ภัยธรรมชาติ และกรณีการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นภาวะที่ทำให้งานฉลองรัฐมนูญที่เคยจัดขึ้นใหญ่โต ซบเซาลง จนถึงจุดมืดบอดเมื่อ อำนาจเผด็จการเข้ามาในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหารรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม และทำการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ในครั้งนี้ แนวความคิด แบบอนุรักษ์นิยมได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอีกครั้งหนึ่ง วันฉลองรัฐธรรมนูญกลายเป็นวันที่มีความหมายเพียง 1 วันหยุดราชการและการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จประปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น

49 ปีแล้ว ที่การให้ความรู้ถูกตัดช่วง หรือนี่เป็นสิ่งสมควรต่อประชาชนผู้ไม่พร้อมรับการปกครองโดยประชาชนด้วยกัน หาใช่...นี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้นำประเทศที่เกิดขึ้น เฟื่องฟูขึ้นพร้อมๆกับการงอกงามอีกครั้งของฝ่ายอนุรักษ์นิยม

การเข้าถึงในเรื่องของการศึกษาระบอบรัฐธรรมนูญ กลายเป็นเรื่องพิธีกรรมและความซับซ้อนที่ยากจะเข้าถึงได้โดยง่าย แท้ที่จริงมันเป็นเช่นนั้นหรือ

ไม่ต่างกัน

การก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญโดยคนกลุ่มหนึ่ง ผู้ที่ทำให้การเมืองทุกวันนี้ เป็นการปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน กำลังเลือนหายไปจากความทรงจำ

หมุดคณะราษฎร เป็นอนุสรณ์แห่งการปฏิวัติหรือบาดแผลของการเมืองการปกครองของไทยกันแน่

ประวัติศาสตร์การเมืองควรเริ่มต้นศึกษาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง คือวันก่อเกิดรัฐธรรมนูญ มิใช่วันที่เกิดรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้น

หากแต่ติดตรงที่ว่า การก่อเกิดรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นจากมือไพร่ มิใช่เจ้า ความสำคัญจึงพร้อมจะเลือนหาย

หากจะกล่าวถึงศิลปะที่เกิดขึ้นภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ชิ้นที่มีความสำคัญมากที่สุด คงหนีไม่พ้นหมุดทองเหลืองดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นที่เคียงขนานกับพระบรมรูปทรงม้า ฝังตรึงเพื่อตอกเตือนความหมายที่แท้ของการปกครองที่ทำให้ทุกวันนี้ คนเรามีสิทธิเสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น

หมุดคณะราษฎร 2475 คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงบทบาทที่มีส่วนในการปกครองประเทศไทยทั้งในทางนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซึ่งหมายถึงการที่มีรัฐธรรมนูญและตัวบทกฎหมายต่างๆเป็นข้อตกลงร่วมกันในข้อปฏิบัติของผู้คนในประเทศ

งานศิลปะหลัง พ.ศ. 2475 อันเกิดจากวาระสำคัญและโอกาสพิเศษของชาติจึงเกิดขึ้นเพื่อความเป็นประชาธิปไตยเสียส่วนใหญ่ อันได้แก่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงหมุดคณะราษฎร 2475 นี้ด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงอำนาจอธิปไตยที่มุ่งเน้นให้ประชาราษฎร์สามารถปกครองกันเองได้ หาใช่การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชอีกแล้ว

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ วันรัฐธรรมนูญจะมิใช่วันที่รัฐจะให้ความสำคัญถึงขั้นมีงานฉลองดังแต่ก่อน และแม้ว่าจุดก่อเกิดรัฐธรรมนูญจะจมฝังถนน รองรับรอยย่ำแห่งกาลเวลา ทว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถลบเลือนสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นั่นคือ ความเสมอภาคในการมีส่วนร่วมกันในการปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 74 ปีก่อน หากแต่เพียงว่าวันนี้ เราใช้สิทธินั้นกันหรือยัง




***หมายเหตุ
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475” และมีรัฐธรรมนูญฉบับอื่นตามลำดับคือ
1.พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
4.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490
5.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
6.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
7.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
8.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
9.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515
10.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
11.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
12.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520
13.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
14.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534
15.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
16.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และได้ยุติโดยรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549
17.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549

Tuesday, December 05, 2006

ชิงช้าบันทึก




เสียงชิงช้าเหล็กดังแว่วมาจากโรงเรียนร้าง ใครกันมาแกว่งไกวในเวลานี้ เวลาที่ฉันร้อนรนเป็นที่สุด

เมื่ออายุได้ 8 ขวบ เป็นปีสุดท้ายที่ครอบครัวของเราพร้อมหน้าพร้อมตา ชิงช้าเหล็กสีฟ้าอ่อนของโรงเรียนถูกฉันจับจองแต่เพียงผู้เดียว อยู่ที่นี่ ใครๆต่างเกรงใจ ครูเล็ก ครูน้อย ต่างเอาอกเอาใจฉัน ด้วยฉันเป็นหลานสาวคนเล็กของเจ้าของโรงเรียน หลานป้า...ที่เป็นพี่สาวแท้ๆของพ่อ

พ่อกับแม่มารับฉันและพี่ชายช้าเสมอ เราจะอยู่ในโรงเรียนจนเกือบค่ำ บางวันที่ได้กลับเร็วหน่อย แม่จะมารับเพียงคนเดียว และเรานั่งรถเมล์กลับบ้าน วันไหนที่พ่อมารับ ฉันและพี่จะดีใจมากกว่า เพราะไม่ต้องหิ้วกระเป๋าตุงๆไปเบียดเสียดกับใครเขา ใครจะรู้เล่าว่า วันหนึ่งฉันจะใกล้ชิดกับการโดยสารรถเมล์ชนิดแบบญาติสนิทกัน

โรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่เป็นโรงเรียนราษฎร์เล็กๆในซอยราษฎร์ร่วมเจริญ เดินทางผ่านทะลุตรงคลองสาน ไม่ช้าก็ถึง ที่นี่มีสนามหญ้าขนาดใหญ่ ใช้เป็นสนามเอนกประสงค์ เด็กนักเรียนตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง ประถม 6 ใช้สนามแห่งนี้ออกกำลังกาย และกิจกรรมประจำปีต่างๆ

งานหนึ่งนั้นคือ งานวันพ่อ

“คุณพ่อขา คุณครูเขาสั่งให้ติดรูปในหลวงให้เต็มสมุดวาดเขียนเลยค่ะ”
“ไว้พ่อให้พี่เขาทำให้ ส่งวันไหนล่ะ เดี๋ยวพ่อไปซื้อสมุดก่อน”
“ส่งวันที่ 4 ค่ะพ่อ”

เช้าวันที่ 4 ธันวาคม 2532

พ่อมาส่งเข้าโรงเรียนสายอีกเช่นเดิม 9 โมงเช้า ไม่ใช่เวลาที่นักเรียนที่มีวินัยจะเดินเข้าเรียน โดยไม่มีโอกาสเข้าแถวเคารพธงชาติ

“เอาขนมไปกินไหม พี่เขาบินแล้วเอามาฝาก สมุดวาดเขียนเอาไปหรือยัง อ้อย...อย่าซนนะลูก”
พ่อมักจะพูดอะไรยาวๆแบบนี้ และพูดเพียงครั้งเดียว มันเป็นคำซ้ำๆที่พ่อพูดทุกครั้งที่ต้องจากกัน ฉันไปเรียน พ่อไปทำงาน เป็นครูสอนเด็กมหาวิทยาลัย ฉันสิ เข้าเรียนเวลาที่ไม่ใช่เด็กประถม

รูปที่ติดในสมุดวาดเขียนของฉัน สวยเลิศกว่าใคร มีภาพที่แตกต่างจากเพื่อนๆที่ตัดมาจาก สมุดภาพประกอบการศึกษา แต่สำหรับฉัน มันคือภาพที่พี่สาวของฉันตัดมาจากหนังสือพิมพ์ ในแต่ละวันที่มีภาพในหลวง ฉันยิ้ม และเอาสมุดวาดเขียนที่ติดรูปในหลวงอวดเพื่อน
มันน่าภูมิใจมากที่เป็นผลงานจากพี่สาว และพ่อ ฉันอยากให้เขาสองคนทำเพื่อฉัน

คะแนนที่ได้เป็นไปตามคาด เป็นคะแนนสิบเต็มสิบ แน่ละว่าหลานเจ้าของโรงเรียน มักเรียนเก่งเสมอ แม้ว่าในหัวจะมีความรู้ งูๆปลาๆ และยังตอบคำถามแบบก้มหน้ามองหนังสือ ใครๆก็พร้อมจะปรบมือชื่นชม

งานวันพ่อจัดขึ้นที่โรงเรียนในเวลาเย็น ฉันจำได้ติดตาที่วันนั้น ฉันเห็นเพื่อน ที่ชื่อ นุภา พาพ่อที่หล่อน้อยกว่าพ่อของฉันมาที่โรงเรียน

นุภาเป็นเพื่อนสนิท

หลังจากพิธีสดุดีในหลวงแล้ว มีพิธีกราบพ่อจากตัวแทนนักเรียน นุภาได้เกียรตินั้น ....ไม่ใช่ฉัน

พ่อของนุภาสวมเสื้อสีขาวในกางเกงสีน้ำเงิน ดูท่าไม่ต่างจากน้าเล็กที่เป็นภารโรงนัก นุภาติดเข็มกลัดดอกพุทธรักษา และกราบที่ตักของพ่อ ฉันนั่งมองแถวหน้าสุด

เมื่อไหร่พ่อฉันจะมารับ ฉันอยากกลับบ้าน

ชิงช้าตัวเก่าที่ฉันนั่งทุกวัน มีเสียงดังหนักกว่าเมื่อครั้งก่อน เสียงมันแสบหูสุดรำคาญ ดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเสียงสัตว์กำลังขอร้องชีวิต อยากหาน้ำมันมาหยอดเสียจริง ฉันไกวชิงช้า ด้วยสองเท้าที่ถีบตัวเองจากพื้นคอนกรีต แกว่งไกลยิ่งแรง เสียงยิ่งดัง หากยิ่งเบา จะยิ่งน่ารำคาญ

พ่อ เมื่อไหร่จะมา

นุภา บอกก่อนกลับบ้านในวันนั้นว่าจะไปเที่ยวกับพ่อในวันหยุด พ่อจะพาไปเขาดิน

เขาดิน?

ตอนที่ฉันรู้จักเขาดินครั้งแรก ก็จากนุภานี่หล่ะ แต่ถ้าเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าไป มันก็ล่วงเลยเวลามาจนฉันเรียน ป .ตรีแล้ว ถ้าครูไม่สั่งให้ไปวาดรูปที่เขาดิน ฉันก็ไม่เคยคิดจะเข้าไปเลย

ราคาบัตรครั้งแรกที่รู้จัก

นักเรียนในเครื่องแบบ 10 บาท
ผู้ใหญ่ 40 บาท

แต่เวลานี้ไม่ใช่ ราคามันเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกของฉันที่มีกับเขาดินก็เปลี่ยนไปด้วย

ครั้งที่เดินเข้าไปในเขาดิน ฉันคิดถึงพ่อ พ่อและนุภา ฉันคิดเล่นๆว่า ถ้าเมื่อตอนนั้นฉันมากับพ่อ ฉันจะสนุกมากไหม จะรบเร้าให้ซื้อไอศครีม และถีบเรือไหม พ่อจะอุ้ม และถ่ายรูปด้วยกันหรือเปล่า...ที่สำคัญ พ่อจะจูงมือฉันอย่างที่คิด อย่าที่ฝันไหม

ค่ำลงมากแล้ว ฉันเบื่อที่จะนั่งชิงช้าเสียงน่ารำคาญ ป้าและลุงเอาขนมมาให้กิน ขนมตะโก้ของโปรด ในนั้นมีแห้วที่สับเอามาเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ฉันเก็บมันใส่กระเป๋าไว้สองชิ้น ให้แม่ และพ่อ

ทุ่มแล้ว แสงไฟนวลจากรถของพ่อเพิ่งสาดเข้ามายังถนนหน้าห้องพักครูชั้นล่าง...พี่ชายยังเล่นเตะบอลกับเด็กในบ้านของป้าอย่างเมามัน พ่อลงจากรถ พร้อมกับถุงขนม แม่มารับกระเป๋าขึ้นรถ พี่ชายพาตัวเปียกๆไปผึ่งพัดลม ฉันนั่งรออีกแล้ว

ฉันเคยคิด ทำไมภาพเหล่านั้นถึงติดตาของฉันนัก ทั้งที่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับการรอคอยนี่หลายฉาก

เอแคร์เต็มปาก...แม่รู้ดีว่าฉันชอบกิน ฉันก็รอทุกวันที่จะได้กินขนมหลังเลิกเรียนจากแม่ และพ่อจะพาไปกินข้าวมันไก่ที่ตลาดโอ๋เอ๋ นี่หล่ะ สิ่งที่เด็กประถม 2 อยากได้....ในเวลานั้น มันมีค่ามากกว่าที่คิดเวลานี้

เย็นวันพ่อ ครอบครัวของเรานั่งกินข้าวอย่างเงียบๆ มีแม่ ยาย ป้า พี่ชาย และฉัน พ่อไปทำงาน

พ่อทำงานในวันหยุด?

ขนมตะโก้เละอยู่ในกระเป๋า ขนมที่ฉันเอามาจากป้าที่โรงเรียน ฉันไม่ทันให้พ่อกับแม่ ฉันไม่มีโอกาส

หลังจากนั้นไม่นาน...พ่อเดินทางไปทำงานที่แสนไกล เราไม่ได้พบกันอีกเลย มีจดหมายของพ่อส่งมายังย้ำให้ตั้งใจเรียน และเป็นลูกที่ดีของแม่ ของพ่อ...

*
**
***
****
*****
****
***
**
*

เพียงพอแล้วกับการรอคอยของพ่อ ไม่ช้าลูกจะขึ้นไปหา วันนี้ขอมาหลอดน้ำมันให้ชิงช้าเสียก่อน อยากนั่งชิงช้าตัวเดิมอีกครั้งก่อนจะติดตามพ่อเพื่อ บอกว่ารัก ที่ห่างหายมานานกว่า 16 ปี


ฉันมาที่โรงเรียนร้างอีกครั้ง โรงเรียนที่ครั้งหนึ่ง เคยทำให้ฉันกลายเป็นคนสำคัญ

เสียงชิงช้าเหล็กดังเอี๊ยดอ๊าด ใครกันมาแกว่งไกวชิงช้าในเวลานี้


ชิงช้ายังไม่พังหรอกหรือ





Friday, December 01, 2006

เลขที่ออก...สูญ..สูญ..สูญ




นานเท่าไรแล้ว ที่ปากท้องของคนไทยบางคน แขวนไว้กับการเสี่ยงโชค งวดแล้วงวดเล่า สนุกในยามลุ้นระทึกกับ...........................หมายเลขที่ออก

กับสิ่งที่เรียกว่า หวย

หวยเป็นที่รู้จักทั่วทุกพื้นที่ สามารถเข้าใจได้ง่ายว่าเป็นกิจกรรมเสี่ยงโชคอย่างหนึ่ง ซึ่งผลตอบแทนคือเงิน... เงินที่หามาได้โดยง่าย และในทางเดียวกัน ก็หายวับไปได้โดยง่ายเช่นกัน

คุณเคยเล่นหวยไหม

ตามประวัติศาสตร์ชาติหวย หวยเกิดขึ้นมาแต่ครั้งสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รู้จักกันในนามของ หวย ก.ข. ในเวลานั้น มีการกระตุ้นให้มีการเอาเงินออกมาใช้ แทนการออมเก็บไว้อย่างนิ่งเฉยโดยต้องการให้มีกระแสเงินหมุนเวียนใช้จ่ายมากขึ้น ในเวลานั้น หวย ช่วยได้จริง

กิจกรรมการแทงหวย เป็นไปอย่างสนุกสนาน ด้วยเหตุที่หวยนี้มีต้นกำเนินมาจากชาวจีน กรรมวิธีในการแทงจึงต้องมีการทำความเข้าใจเสียใหม่ในเรื่องของวัฒนธรรมทางภาษา การออกเสียง และพยัญชนะ...หวย ก.ข.จึง เป็นที่มีของบรรพบุรุษหวยในปัจจุบัน

อักษรไทยเข้ากำกับแทนหนังสือจีน (ซึ่งแต่เดิมเล่นกันมาก่อนที่จะมาจริงจังกับชาวไทย )โดย อักษรไทยมี 44 ตัว ใช้เป็นตัวหวยเสีย 36 ตัว เหลือที่ไม่ได้เอามาใช้ 8 ตัว คือ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ศ และ ษ จึงเรียกกันว่า หวย ก ข และปลดตัว ง และธ ในภายหลัง จึงเหลือเพียง 34 ตัว โดยกิจกรรมดังกล่าวยังคงเป็นแบบที่ชาวจีนเล่นกันคือเมื่อจะออกหวย เจ้ามือจะเลือกป้ายขึ้นมาอันหนึ่งหรือชื่อหนึ่ง ใส่ลงในกระบอกไม้ปิดปากไว้ แล้วแขวนไว้กับหลังคาโรงหวย นักแทงทั้งหลายก็จะทายกันว่างวดนี้จะออกชื่อใครใน 34 ป้ายนั้น

นับว่าประสบความสำเร็จในเรื่องการดึงเงินจากประชาชน เศรษฐกิจตื่นตัวกันมากขึ้น นัยหนึ่งเกิดมีเจ้าสัวที่เป็นเจ้ามือโรงหวย และคนจนไถนาเพื่อมาลงเล่น ...การพนันระดับชาติ

81 ปีแห่งความพยายาม และน้ำตาของผู้สูญเสีย หวยถูกยกเลิกในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยมีความเห็นว่าเป็นการพนันที่บ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ชาวประชาลุ่มหลงอบายมุขจนน่าใจหาย การหวังรวยทางลัด นำไปสู่ความยากจนเพียงพริบตา ด้วยเหตุนี้ การยกเลิกจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

หรือไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด

รายได้ของแผ่นดิน ส่วนหนึ่งมาจากภาษีต่างน้ำพักน้ำแรงของคนในชาติ ช่วยกันจ่ายอากรเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ในส่วนของการเก็บเกี่ยวทำมาหากินในผืนแผ่นดินร่วมกัน แต่รายได้ที่สูงค่ามากที่สุด กลับเป็นเงินที่ได้จากการเล่นหวย การพนันที่อนุโลมให้ถูกต้องในแง่จริยธรรม

ดังจะพบว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวออกล็อตเตอรี่ขึ้นเป็นครั้งแรกแล้ว เพื่อหารายได้บำรุงการกุศล และได้มีการออกล็อตเตอรี่ในวาระพิเศษอีกหลายครั้ง เป้าหมายสำคัญคือการระดมเงินเพื่อสาธารณกุศล ผ่านการลงทุนเสี่ยงโชค หวังผลกำไรคืนกลับมา แทนการเต็มใจบริจาคอย่างเดียว

ในปี พ.ศ.2482 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และหวยก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเลขท้ายของรางวัลที่ 1 และเลขท้ายของล็อตเตอรี่ ที่ทำความรู้จักกันในนามของ หวยใต้ดิน

เป็นการประกาศโดยนัยว่า การเสี่ยงโชคในแนวทางนี้ จะถูกต้อง และเห็นสมควรที่สุด เมื่อรัฐเป็นผู้กระทำการ และสามารถแจกแจงได้ว่า เงินมหาศาลจากความโลภเหล่านั้น ถูกแปรเปลี่ยนเป็นประโยชน์ล้ำค่าเช่นไร การยกเลิกหวย ก.ข. เป็นเพียงการลดกรรมวิธีการ และเส้นสายในการเล่น ไม่ให้นอกทางจนยากแก่การควบคุมจากส่วนกลางเท่านั้น

เส้นทางของหวย เป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน จนมีหลายท่านต้องการสืบสาน และอนุรักษ์ไว้ เพื่อความไพบูลย์ของชาติไทยเรา

น่าตลกที่เป็นเช่นนั้น

ผู้นำหลายรุ่น ไม่สามารถแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ต่อกิจกรรมการระดมทุนเพื่อสร้างชาติด้วยการเสี่ยงโชค ทั้งที่รู้ว่าคือสิ่งมอมเมาทางหนึ่ง ทว่า ตัวเงินที่มหาศาล ที่ประชาชนพร้อมใจจ่ายมากกว่าภาษีเป็นสิ่งค้ำคออยู่ว่า จะหาทางดึงเงินจำนวนเท่านั้น จากทางไหน พวกเขาต่างพบว่า ไม่มี

การเสี่ยงโชคในลักษณะนี้จึงมีความเข้มแข็ง และสร้างจินตนาการให้คนในชาติอย่างเต็มกำลัง อาทิ การตีเลขจากความฝัน จากสัตว์พิการ จากเหตุการณ์สำคัญๆ หรือแม้แต่ เรื่องสามัญอย่างการเกิด การตาย ของคนและสัตว์ จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมคนถึงสนใจต่อสถานการณ์บ้านเมืองในเชิงตัวเลข

และดูว่า การเรียกร้องสิทธิ์ในการอนุรักษ์พฤติกรรมหวย จะยังคงดำเนินต่อไป แม้เส้นทางนั้นจะผิดกฎหมายเสียแล้ว เชื่อแน่ว่า ความกระหายในการเสี่ยงยังคงมีอยู่

เพราะเขาเชื่อ ในสัญชาตญาณนักแข่ง ที่มีอยู่ในตัวคน....แข่งต่อจินตนาการ และความบังเอิญ ที่คิดว่า งวดหน้า เลขที่ออกคงไม่ใช่ สูญ...สูญ...สูญ.