1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Saturday, September 30, 2006

วันเสาร์กับความว่าง

วันเสาร์ที่ต่างไปจากเมื่อหลายเสาร์
วันนี้เราไม่ได้ออกไปไหนเลย อยู่แต่ในบ้าน เขียนไรไปตามประสา
นึกถึงความต่างกันอย่างสุดๆของวันเสาร์ก่อนๆ

เมื่อตอนยังเรียนหนังสือ วันนี้เราจะไปห้องสมุด
ห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยปิด 1 ทุ่ม จะมีเพื่อนๆมานั่งหาหนังสืออ่าน
เราอ่านหนังสือที่นอกเรื่องเสียมาก หลังจากยืมหนังสือใช้ทำรายงานแล้ว

หมดเวลาเข้าห้องสมุด เราไปกินข้าวที่ร้านหน้าพระลาน ไม่ก็ตรงลานท่าช้าง
เมนูเดิมๆแต่บทสนทนากับเพื่อนทำให้อาหารอร่อยขึ้น

แน่นอนว่าเบียร์ถูกสั่งมาบ้าง มันทำให้วันเสาร์ถูกปลดปล่อยได้มากกว่าเดิม
นั่งดื่ม นั่งกิน แล้วกลับบ้าน เรานอนหลับสนิท ลืมความฝันไปถึงเช้าวันอาทิตย์ เป็นแบบนี้

หลังจากนั้นไม่นาน..เรามีนัดกับใครคนหนึ่ง ทุกวันเสาร์ นั่งกินสปาเก็ตตี้ร้านเดิม น้ำชามะนาว และมองแม่น้ำ
มันสวยงาม และน่าจดจำ มันคือรัก

วันนี้สิ วันที่ใช่ของจริง วันเสาร์ที่แสนว่าง
เมื่อคืนเราคุยกับแมวถึงเช้า เรามีความสุข ทั้งที่เราก็รู้ว่ามันนานเกินไปที่จะคุยกัน

พอเรามาถึงวันที่ไม่รู้จักคำว่ามีความสุข อะไรก็ตามที่เข้ามาในชีวิต
เรารับไว้หมด...มันไม่มากไปหรอก ถ้าเราจะเติมความว่างด้วยอะไรก็ได้

แต่แน่นอนว่า มันน่าจะผสมความรัก และความอบอุ่นไว้บ้าง

ความรักของปลายฝน

เราเกิดมาในฤดูฝน
ยามเย็นที่พี่ชายเราบอกว่าท้องฟ้าสวยมากพี่เป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เรา
หลังจากเราเกิดพี่เราให้เราอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองเราอยู่มา...เราคิดถึงพี่ชาย

พี่ชายเลี้ยงแมว
แมวเหมียวที่ฉันไม่เคยชอบตอนเด็ก
จำได้ มีแมวตัวหนึ่งข่วนแผลลึก ทำเลือดออก..ลิ่มเลือดทำเรากลัว
แต่แมวของวันนี้..ต้องทำฉันรู้สึกเปลี่ยนไป

แมวยิ้มสวย แมวเสียงเพราะ และแมวไม่ข่วน
เคยตั้งคำถามว่า ทำไมแมวตัวนี้ไม่ข่วน
ได้คำตอบว่า "รัก"

แมวรักแล้วไม่ข่วน
แมวเคยบอก ชอบบทกลอนของฉัน
มันทำให้ฉันมีความสุข มากขึ้น
ที่เริ่มกดแป้นพิมพ์คำในหัวออกมาเป็นคำ...อย่างน้อยแมวก็สน

อยากให้แมวมีความสุข มากกว่าการกินปลาทู

แล้วเราจะอ่านบทกลอนให้ฟัง..

Friday, September 29, 2006

ปลายฝนของนายเต่า

ผู้คนบนถนนต่างกรูกันวิ่งหลบฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่น่าเชื่อเลยว่า เม็ดฝนที่มีขนาดใหญ่กว่าน้ำตาของเด็กน้อยจะก่อตัวลงมาราวกับกระสุนปืน เพียงไม่กี่นาที ถนนเต็มไปด้วยรถยนต์ที่จอดเรียงกัน คนในรถไม่มีใครเปียก พวกเขามีเวลาหันมามองใครอื่นที่กอดยกข้าวของให้พ้นสายฝนราวกับมดย้ายรังนอน

บนถนนตากสินย่านฝั่งธนฯ ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนที่มีคนจรมาพักอาศัยเป็นระยะตลอดสาย นายเต่าเป็นหนึ่งในนั้น

นายเต่า เป็นชายวัย 40 ปี มีร่างกายไม่สมประกอบนัก เขามี แผ่นหลังโค้งโปนออกมาอย่างคนหลังค่อม เด็กๆที่เรียนหนังสือแถวนั้นเรียกเขาว่า "เต่า"เพราะเขามีหลังคล้ายกระดอง ท่าทางการเดินของนายเต่า ดูผิดแผกไปจากคนอื่นๆ ด้วยช่วงขาที่ยาวไม่เท่ากัน

จังหวะก้าวย่างที่กระย่องง่องแง่งของนายเต่า เป็นที่ขบขันของเด็กๆ ถึงแม้ว่านายเต่าจะเป็นคนยิ้มสวย รอยยิ้มที่เผยซี่ฟันเหลือง คราบเขรอะจับหนา ไม่เคยเป็นที่พอใจของคนที่พบ แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ ให้ฟรี แต่น้อยคนนักที่จะไม่แสดงอาการรังเกียจ

“นายเต่ามาจากไหน” คำถามที่ใครต่อใครอยากรู้ ทุกครั้งที่เห็นนายเต่า ยืนมองรถราที่วิ่งไปมา เป็นเวลานานแล้วที่นายเต่าทำอะไรเดิมๆ ยืนที่ตำแหน่งเดิม เสื้อชุดเดิม กับถุงพลาสติกใบใหญ่ใบเดิม ที่นับวันจะพองใหญ่ขึ้น และค่ำนี้เองที่นายเต่าจะเฉลยเสียทีว่า เขาใส่อะไรไว้ในถุงพลาสติคนั้น

“อื้อ...อ้า..อื้อ...อื้อ....อื้ออออ” นายเต่าพูดไม่ได้ ....ภาษาที่แปลไม่ได้ความนั้นมีความหมายสอดคล้องกับภาษากายของเขา เขายื่นถุงพลาสิกที่ขยำเป็นก้อนกลมในถุงพลาสติกใบใหญ่ ออกมา มันมากจนน่าตกใจ คนที่ยืนหลบฝนถอยหลังหนีการกระทำของนายเต่า

“ไอ้เต่า มึงจะทำอะไร เดี๋ยวมึงโดน" นายเบิ้ม มอเตอร์ไซต์รับจ้างเข้าขวางเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาแสดงอาการหวาดวิตก

“อื้อ...อ้า..อื้อ...อื้อ..อื้อ..อื้อออออ”

“ไป..ๆๆ พูดเหี้ยไรวะ ไม่รู้เรื่องโว้ย อย่ามาทำพวกเขากลัว ไปเลย มึงไปยืนตากฝนที่เดิมของมึงโน่น อย่ามาวุ่นวายแถวนี้ ไป!”นายเบิ้มตะคอกหนักกว่าเดิม พร้อมกับผลักร่างเปียกโชกของนายเต่า

นายเต่าล้มลง ถุงพลาสติกกระจัดกระจายไปตามพื้นทางเดิน นายเต่ารีบเก็บใส่ไว้ที่เก่า

“เขาคงจะแบ่งถุงให้คลุมหัวหล่ะมั้ง นั่นไง ที่หัวของเขาก็มีถุง แต่ใครจะบอกเขาล่ะ ว่าไม่เอา พูดกันคนละภาษาแบบนี้”หญิงขายพวงมาลัยซึ่งเห็นนายเต่ามาตั้งแต่เริ่มขายพวกมาลัยพวงละ 3 บาทจนทุกวันนี้กลายเป็นพวงละ10 บาท พูดขึ้นมาอย่างเห็นใจ

“โธ่ป้า มันจะหลอกเอาเงินล่ะสิ แย่ๆอยู่ในเมืองแบบนี้ มาเจอคนบ้าๆ ประเทศมันถึงไม่เจริญไง ดูมัน ด่าแล้วเสือกหันมามองอีก เดี๋ยวบั๊ด ตบหลังหายค่อมเลยมึง” นายเบิ้มเท้าเอวคุยกับหญิงขายพวงมาลัย ทั้งที่เขาเองเพิ่งออกจากคุกคดีค้ายาบ้า แต่ได้สัญญากับใครต่อใครเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าจะกลับตัวเป็นคนดี

ความเป็นคนดีของนายเบิ้ม คือการแสดงตัวคุ้มครองผู้คนละแวกที่ทำมาหากิน เหมือนเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของท้องถิ่น

หลังงุ้มของเขาไม่ได้ใช้กันฝน นายเต่าหนาวสะท้านด้วยเวลาที่เก็บถุงที่กระจาย กินเวลานานกว่าการนั่งฟังเพลงเพราะๆให้จบลงใน 1 เพลง

ถุงพลาสติกชุ่มน้ำหมดสิ้น นายเต่าสะบัดก่อนใส่ไว้ในถุงพลาสติกใบใหญ่ตามเดิม

“อื้อ...อ้า..อื้อ...อื้อ”“อะไรของมึงอีก กูจะหลบฝนของกูตรงนี้ มึงไปเลยไป ไปยืนไปนอนที่ไหนก็ไป เห็นไหมเนี่ยคนตั้งเยอะแยะ หัดเกรงใจคนอื่นบ้างไอ้เต่า น่ารำคาญ” “เดี๋ยวผมจัดการให้นะครับ” นายเบิ้มดึงเสื้อนายเต่าให้ไปยืนที่อื่น แล้วหอบถุงพลาสติกหนักน้ำฝนให้พ้นไปจากฝูงคนที่รอให้ฝนหยุดตก

ฝนหยุดตกนานแล้ว ท้องถนนเงียบเชียบอีกครั้ง นายเต่านอนขดตัวอยู่หน้าร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า หนุนและกอดห่อถุงพลาสติกชุ่มน้ำนั้นอย่างหวงแหน

ปลายฝนในเมือง หยดลงยังพื้นที่ไม่สามารถแทรกซึมสู่เบื้องล่างได้ ดินชุ่มยังสัมผัสได้เพียงกลิ่นจางๆของละอองฝน กับเขม่าควันของความรัก ความรักตัวเองที่น้อยครั้งจะหยิบยื่นให้ผู้อื่น

นายเต่านอนหนาว ไร้ที่กำบัง และหัวใจของเขาไม่เคยมีกำแพง รอยยิ้มสวยของเขาบัดนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าของคนไร้ความหมายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของถนนเส้นนั้น...ไม่มีใครได้พบนายเต่าอีก

บ้างว่าเขาถูกจับตัวไปสถานสงเคราะห์ บ้างว่าเขามีญาติมารับไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่สักแห่ง บ้างว่าเขานอนหนาวตายและมีคนพาไปส่งโรงพยาบาลแล้ว

ตำแหน่งเดิมของนายเต่า มีถุงพลาสติกใบใหญ่วางอยู่ ถุงนั้นสีดำและมีกลิ่นเหม็น ที่ถ้าหากรื้อค้นอย่างไรก็คงไม่พบถุงพลาสติกที่อัดแน่นไว้แบ่งปันให้ใช้กันฝนของนายเต่าอีก ปลายฝนของนายเต่าสุดทางเพียงเท่านี้

คืนนี้เงียบกว่าทุกคืน ไร้เงาของเมฆฝน นี่คงเข้าหน้าหนาวแล้ว


2006-09-28 14:59:37/ปลายฝน