1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Monday, October 23, 2006

รางวัลความรัก




ไต่เต้าเงาเมฆเจ้าไร้รูป
นี่หนาจูบแผ่นดินกี่ค่ำเช้า
ผ่านลมร้อนลมหนาวกี่คืนยาว
เพื่อเติมก้าวสู่ความฝันที่หมั่นคอย

**



ทีละนิดจิ๊ดจ้อยค่อยคอยถัก
เติมความรักเติมชีวาไม่ล้าถอย
ก้าวเถิดก้าวยาวหรือย่อไม่ท้อรอย
ที่ก้าวมาห่างนับร้อยจากจุดเดิม

**



เพื่ออะไรนั่นหรือ คือความรัก
ให้หมั่นหนักชักชวนเพลงครวญเสริม
นี่หนาเจ้าเห็นไหมใจเจ้าเจิม
เติมแต่งเพิ่มความสุขที่ยินดี

**



รางวัลนี้คือรอยยิ้มพริ้มหายเหนื่อย
ระหว่างทางที่เดินเรี่อยซับเหงื่อนี้
ให้กำลังใจคงมั่นหมั่นพียรดี
เพื่อก้าวไกลไปถึงที่หมายหัวใจ.
***

แด่ 22 ตุลาคม 2549.มิตรภาพไม่เสื่อมคลาย ....สหาย...ญาติน้ำหมึก ที่บ้านพี่วินทร์





Saturday, October 21, 2006

ความเหงา(เมื่อลมหนาวผ่านพัด)


ลมพัดเข้ามาที่หน้าต่างเมื่อเช้านี้ เหมือนหน้ากระดาษแห่งฤดูกาลถูกฉีกออก................"หน้าหนาวแล้วสินะ"

เมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าบรรยากาศแบบนี้ ช่วงเวลาแบบนี้ ฉันไปดูโบราณสถานที่จังหวัดจันทบุรี ไปนอนที่ท่าแฉลบ และดื่มกินกับเพื่อนริมทะเลป่าชายเลน ไม่มีบรรยากาศโรแมนติกอะไรทั้งสิ้น มีแต่เสียงหัวเราะกับเรื่องที่ยังพกพามาจากกรุงเทพฯ นี่จะเป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดครั้งสุดท้ายของพวกเรา...เพื่อนร่วมห้องเรียนที่เฮฮาเหลือเกิน

ระหว่างวันฉันบันทึกภาพหมาตัวหนึ่ง มันเป็นหมาขี้เรื้อน สีผิวของมันจับได้ว่าเป็นสีขาว มันเป็นหมาขี้เรื้อนที่ขนเกรียน ตามแขนขา และแผ่นหลัง มีริ้วรอยของการเกาเป็นแผลสีแดงอมชมพู มันทำหน้าง่วง ทั้งที่แดดจ้า มันยังง่วงนอน






ในแววตาของมัน ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเห็นฉันเป็นอย่างไร แต่ในสายตาฉัน ฉันมองเห็นว่ามันช่างน่าสงสาร...ฉันมักจะคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ไม่ว่าจะคิดถึงอะไร ฉันมักพยายามจินตนาการ หรือมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะเป็นปัจจุบันให้ฉันได้สัมผัส มันอาจเป็นนิสัยที่ติดมาจากการคิดเรื่องรูปทรงสันนิษฐานของโบราณสถานก็ได้ มันเป็นธรรมดาไปแล้วที่ฉันจะคิด จะมองอะไรแบบนั้น และฉันคิดถึงตอนที่มันเป็นหมาเด็ก

ฉันของตั้งชื่อมันว่า นมอุ่น นมอุ่นน่าจะเป็นลูกหมาที่แข็งแรง สังเกตุจากร่างกายที่กำยำ เจ้าเนื้อ น่าจะเป็นหมาที่มีความสามารถในการกินสูงเข้าท่าดี นมอุ่นหูตั้ง และหางดาบ นี่เป็นลักษณะของหมาหล่อ มันน่าจะเคยมีหมารัก และมีครอบครัว ก่อนที่จะเจอกับโรคเรื้อนแบบนี้

ฉันคิดว่าถ้านมอุ่นได้รับการรักษาสักนิด อาการเหล่านี้คงค่อยๆทุเลา และกลับมาเป็นหมาหล่อ มีชีวิตที่ร่าเริง สมวัยหมาได้อีกครั้ง แต่นมอุ่นไม่มีเจ้าของ ไม่มีปลอกคอ นมอุ่นนอนข้างทาง ไม่ช้า โรคภัยคงเร้าชีวิตให้ห่อเหี่ยวลง ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้ม ค่อยๆจางหาย มีเพียงสีหน้าที่แสดงอาการเจ็บป่วย อากาศหนาวเย็น ยิ่งทำร้ายร่างกาย ขนที่เคยป้องกันอากาศหนาว ก็ไม่ค่อยเหลือไว้ทำหน้าที่ของมัน

หนึ่งปีแล้ว ระยะทางแสนไกล จากกรุงเทพฯ - จันทบุรี ป่านนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้าง ฉันได้แต่คิดถึง เมื่อนาฬิกาแห่งฤดูกาลผ่านมาอีกรอบ ช่างไวเหลือเกิน

ความเหงาในแววตาหมาหนุ่ม มันจะประมาณเดียวกับฉันไหม...ฉันเหงาเพราะอะไรหรือ เวลาของฉัน ที่ใครๆเห็น ฉันสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสนุกสนาน แต่ลึกๆฉันยังเหงา ความเหงาของฉัน ...ฉันมาลองคิดก่อนหน้านั้นเคยมีไหม...ใช่ มันมี..แต่ไม่ใช่แบบนี้

เมื่อยังเด้ก ฉันเป็นเด็กที่ขี้เหงาที่สุด(ในบ้าน) ฉันวาดรูปและเขียนเรื่องกำกับบนนิทาน กระดาษเหล่านั้น บางแผ่นฉันยังเก็บรักษาเอาไว้ มันนอนนิ่งคุยกันกับกระดาษแผ่นก่อนอย่างเพลิดเพลิน จินตนาการตอนเด็กๆ มันช่างสวยงาม น่ารัก ฉันชมตัวเองนะว่า ฉันตอนเด็กน่ารักมาก ชอบเล่นกับต้นไม้ ปลา และแมลงเต่าทอง

กลางคืนฉันวางแผนในหัว ว่าวันพรุ่งนี้จะไปเล่นกับอะไร ที่ส่วนไหนของบ้าน ฉันขี้เหงานะ เหงาจริงๆ แต่คนอื่นคิดว่าฉันอยู่ได้ เล่นคนเดียก็ได้..ใครบอกกัน ฉันไม่เคยเล่นคนเดียว

เวลานี้สิ ที่ฉันอยู่คนเดียว


หลังจากการเดินทางไปจันทบุรีเที่ยวนั้น ฉันได้พบกับเพื่อนๆบ้าง การงานของพวกเราขีดแบ่งให้เราต้องห่างกัน ตามทางของตนเอง บางคนไปเป็นอาจารย์ ,นักวิชาการ ,ไกด์ หรือแม้แต่ทำงานที่เก่าของตัวเอง บ้างก็เป็นสถาปนิก นายธนาคาร หรือบางคนก็ว่างงานอยู่ ห้องเรียนว่างแล้ว เก้าอี้ยังรอให้นักเรียนคนต่อไปมาสวมทับ และเดินจากไปอยู่อย่างนั้น

นี่สิคือสิ่งที่ใช่ที่สุด เป็นสิ่งที่แท้จริงที่สุด นั่นคือ ความแปรเปลี่ยน

ลมหนาวจางหายไปเมื่อแดดอ่อนๆค่อยๆสาดแสง เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้เรียนรู้ถึงความรู้สึก ...ความเย็น และความร้อน กลายเป็นความอุ่น มันช่างอุ่นสบายตัวอยากให้เจ้านมอุ่น ได้รู้สึกแบบนี้บ้าง ป่านนี้มันยังคันผิวอยู่ไหม

ลมหนาวผ่านพัด ใช่เพียงนำการเปลี่ยนของฤดูฝน ให้จางหาย ทว่า ได้นำความเหงา ที่เคยทักทายกันเมื่อปีก่อน กลับมาอย่างใจเย็น

คิดถึงคนบางคนที่ปลายขอบฟ้า เราเคยสัญญาว่าจะไม่มีวันพบกัน เธอทำได้ไหม ฉันทำได้ไหม ไม่มีใครรู้

ไม่แน่ว่า การพบกันของเราอาจเกิดขึ้นแล้วโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว อาจเป็นการเบียดเสียดบนรถเมล์คันไหนสักคัน การเข้าคิวซื้อของอะไรสักอย่าง หรือแม้แต่ เราอาจเคยนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันแล้ว เพียงแต่ต่างเวลากัน เท่านั้นเอง







Friday, October 20, 2006

หนังสือเล่มนั้น(2)






“วันนี้ผมจะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่ที่อร่อยที่สุด” ลิขิตชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวตรงข้ามโรงพยาบาล เขาล้วงมือซุกกระเป๋ากางเกงและยิ้มก่อนที่จะเอ่ยเบาๆ “วันนี้ฉันเลี้ยง”

“แหม รวยจริงนะ ไม่ต้องหรอกนะ ฉันต่างหากต้องขอบใจที่เธอให้ฉันยืมหนังสือ ถ้าไม่ได้เล่มนั้นกลับไปทำต่อที่บ้านนะ รายงานฉันต้องแย่แน่ๆเลย ขอบใจนะ”
“ถ้างั้นรีเลี้ยงผม ผมขอสองชาม”

“ได้...ได้...จำไว้”
ก๋วยเตี๋ยวไก้เคล้าลมเย็นๆทำให้น้ำซุปร้อนอุ่นเร็วกว่าเดิม

การนั่งเรือข้ามฟากกลับมาฝั่งท่าช้าง เป็นบรรยากาศที่สวยงามกว่าขาไป ท้องอิ่มทำให้รอยยิ้มสวยงามกว่าเก่า ลิขิตนั่งริมสุด สายตาทอดลงต่ำ มองเห็นริ้วน้ำที่พัดพาผักตบชวามาใกล้ๆ ในกองผักเหล่านั้น มีตุ๊กตาหนึ่งตัว เป็นตุ๊กตาหมีน้ำน้ำตาลหม่น ขนที่เคยพองกอดกัดกลมเมื่อต้องกับน้ำ ผักตบชวาพยุงร่างไว้ไม่ให้ต้องจมดิ่งจนมิดหัว ที่คอตุ๊กตาหมียังมีโบว์ลายจุดสีแดงผูกอยู่ สายตาของลิขิตมองตามไปจนลับ เมื่อลำเรือหมุนหันเพื่อเทียบฝั่ง

“อยากได้หรอ”นารีพูดกลั้วยิ้ม

“เอ้ย บ้าแล้ว ผมไม่ใช่ตุ๊ดนะ”

“ทำไม เป็นตุ๊ดมันผิดตรงไหน ออกจะน่ารัก ฉันมีเพื่อนเป็นเพศที่สาม ที่สี่ ที่ห้าเยอะแยะ ไม่เห็นมันจะต่างจากคนอื่นตรงไหน อยากได้ก็บอกนะ จะซื้อให้ ไอ้ตุ๊กตาหมีเนี่ย” นารีหัวเราะลั่น “ไปกลับบ้าน จะเข้าคณะต่อไหม เราจะไปนอนหอเพื่อนหน่ะคืนนี้ คงขึ้นรถเมล์หน้าวังเนี่ยแหละ”

“กลับ ผมจะเข้าไปทำงานต่อ ผมว่าคืนนี้จะค้างที่นี่หล่ะ”

“ให้ไปส่งไหม แหนะ ยิ้มสิ ล้อเล่น มันดึกแล้ว สองทุ่มครึ่ง เราสองคนนี่ทำอะไรช้าเหมือนกันนะ ว่าไหม”


ลิขิตยิ้มให้นารีก่อนแยกย้ายกันที่หน้าประตูทางเข้า ไม่ถึงสามลมหายใจเข้าออกเขารีบหันหลังกลับมาที่นารีอีกครั้ง เขาหยิบหนังสือเล่มเล็กส่งให้เธอ ความจริงเขาตั้งใจว่าจะให้นารีตั้งแต่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ ลังเลจนเกือบลืม หนังสือเล่มบางถูกห่อด้วยกระดาษไข เนื้อบางตายังคงมองเห็นปกสีเขียว หนังสือที่มีชื่อว่า “อะไรหรือ ที่เธอเรียกว่าความรัก” เป็นรวมบทความที่ให้กำลังใจของนักเขียนหญิงคนหนึ่ง

“โอโหแหะ มีของขวัญ ถามจริง เธอชอบฉันเปล่าเนี่ย”นารีพูดพลางหยิบหนังสือนั้นมาดู
“อืม เพิ่งรู้หรอ”

“เฮ้ย พูดเล่น เอาจริงดิ เป็นแฟนฉันต้องอดทนนะ ฉันเจ้าชู้...อ่ะ..อ่ะ ล้อเล่น อืมขอบใจนะ เดี๋ยวคืนนี้อ่านเลย ไปเหอะ รีบไปทำงานไป แล้วจะโทรหานะ ไปสิ............เอ้ ช้าจริง”

นารีดันหลังลิขิตเข้าประตูไป แล้วจึงข้ามถนนไปรอรถเมล์ที่วิ่งผ่าน หน้าหอศิลป์ ประตูตรงกันกับที่นารียืนรอนั้น ลิขิตยังไม่วางสายตาจากไป ดูเหมือนกับว่า เขายังมีอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกกับนารีในค่ำนี้

สายไปเสียแล้ว รถประจำทางสาย 124 แล่นผ่านมา นอกจากจะบดบังร่างของนารีแล้ว ยังนำเธอจากไปจากที่ยืนนั้นอีกด้วย นารีเปิดหนังสือเล่มนั้นออกอ่าน พลันเห็นกระดาษแผ่นเล็กที่สอดไว้ข้างในนั้น
“รอผมเหมือนเดิมนะ”

“ตาบ้าเอ๊ย ใครมันจะว่างไปรอบ่อยๆ” นารีกดหมายเลขโทรหาลิขิต ไม่มีใครรับสาย เธอวางสายแล้วโทรออกอีกครั้ง เหมือนเดิมอีก ไม่มีใครรับสายเช่นเดิม
ความรู้สึกเก่าๆ เรื่องราวเก่าๆของนารี ย้อนกลับมา เพียงแค่ปลายสายไม่รับหรือติดต่อกลับมาเท่านั้น เรื่องที่ทำเธอฟูมฟาย ได้แต่อดกลั้น และพลิกหนังสือเพื่ออ่านระหว่างเวลาที่เดินทางไปบ้านเพื่อน

ลมแรงพัดเข้ามา เรือนผมสยายแตกตัวเป็นเส้นสาย ละอองน้ำพักเข้ามาปะทะใบหน้า เป็นเวลาที่ฝนเริ่มบรรเลงบทเต้นรำ เวลาของความสุขสั้นกว่าที่คิด นารีไม่อยากอดกลั้น รถประจำทางสายเดิมหยุดจอดติดไฟแดงที่แยกนั้น แยกที่เธอมองเห็น หญิงคนหนึ่งถูกผลักล้มลงท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำ กองสมุดสามสี่เล่มกระจายตามพื้นที่นองไปด้วยน้ำคละคราบไคลถนน ชายร่างสูงเดินจากไป หญิงสาวช่างน่าสงสาร เสื้อสีขาวเปื้อนโคลนจากดินข้างถนนนั้น
นารีถูกปลุกจากภวังค์ด้วยเสียงและการสั่นตัวของโทรศัพท์

“สวัสดีครับ รี โทรมามิอะไรเปล่าครับ พอดีวางโทรศัพท์ไว้อีกที่หนึ่งหน่ะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้รับสาย” นารียิ้มเมื่อได้ฟังคำปลอบจากภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ความทรงจำสีหมองที่เธออยากลืม

“อ่านหนังสือเล่มนั้นดีๆนะ บางหน้ามัน...”

“เห็นแล้ว มีกระดาษของเธอสอดอยู่ นี่แหละที่จะโทรบอก ว่าเสี่ยวมากๆ ชอบฉันบอกฉันตรงๆสิ อายอะไรอยู่” นารีมองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างทางมีเพียงแสงไฟจากร้านรวงที่ทำให้ยามค่ำคืน ไม่มืดนัก

“อืม..อ่านหนังสือไปแล้วกัน ผมวางสายก่อนนะ จะทำงานแล้ว แค่นี้นะ”

“เดี๋ยว” นารีพูดยังไม่ทันได้ความ ปลายสายก็รีบวางไปแล้ว แต่อย่างน้อย เสียงของลิขิตก็ทำเธอลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่เธอกำลังสงสารหญิงคนนั้น คนที่เธออยาก

ลืมว่าเคยอ่อนแอ เคยคร่ำครวญถึงเรื่องราวเก่าๆที่ควรจลลงไปนานแล้ว เพียงเพราะการที่ไม่ได้รักกัน จะทนทำไม

“บทที่หนึ่ง เมื่อสายลมหนาวผ่านพัด....ชื่อเพราะดีแหะ เพิ่งรู้นะ ว่าเธอนี่มันอ่านหนังสือแบบนี้ด้วย” นารีเริ่มต้นอ่านหนังสือจากบทที่หนึ่ง เธอเริ่มอ่านหนังสือในคืนที่มีฝนพรำ ท่ามกลางฟ้าร้องที่เธอเคยกลัว เธอลืมไปแล้วว่า เสียงเมื่อสักครู่คือฟ้าร้อง เธอต้องกลัว เพียงเธอลืม

Thursday, October 19, 2006

หนังสือเล่มนั้น (1)

“ขณะนี้เวลา 18.45 นาฬิกาเหลือเวลาอีก 15 นาทีห้องสมุดจะปิดให้บริการค่ะ”

นารีง่วนอยู่กับการคัดเลือกหนังสือที่เธอจะยืมกลับไปทำรายงานต่อที่บ้าน ค่ำนี้เธอต้องกลับไปที่อยุธยา อีกหนึ่งสัปดาห์กว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง หนังสือกองโตถูกลำเลียงไปที่เคาน์เตอร์ยืม-คืนหนังสือ

“น้องคะ เหลือสิทธิ์ยืมหนังสือได้แค่ 4 เล่มนะคะ พอดีของเก่าน้องยังไม่ได้คืน 6 เล่ม” บรรณารักษ์คิ้วงามนามว่า พี่ศรีเพ็ญ จัดการยืมหนังสือให้นารีเรียบร้อย เธอกำลังหยิบหนังสือที่เกินมา 1 เล่ม เข้ารถเข็นเตรียมขึ้นชั้น เพราะใกล้เวลาปิดห้องสมุดแล้ว

“เดี่ยวพี่....ขออ่านก่อนได้ป่ะ” นารีรีบหยิบหนังสือ ศิลปะขอมมาพลิกดู สายตาของเธอสอดหาคนรู้จัก อาจเป็นเพื่อน รุ่นน้อง รุ่นพี่ ใครก็ได้ที่จะช่วยเธอเอาหนังสือเล่มนี้ออกไป..ไม่มีแม้สักคน เวลาเช่นนี้ ส่วนใหญ่ ออกไปนั่งรอกันที่ร้านหน้าพระลานแล้ว นารีทำอะไรช้าเสมอ ทุกเรื่องจะมีเธอเป็นคนรั้งท้ายทุกคราวไป
“เหลือเวลาอีก 5 นาที เอาไงดี ๆ” หนังสือเล่มนั้นยังอยู่ในมือของเธอ “เฮ้ย เธอ..มีที่ว่างเหลือยืมหนังสือป่ะ ขอยืมเล่มนึงได้ป่ะ” ชายรูปร่างบอบบางเป็นเป้าหมายที่ดีในเวลานี้

“อะไรคุณ”
“ยืมหนังสือให้หน่อยได้ไหมคะ”

“เอากี่เล่มครับ”
“เล่มเดียวค่ะ”

“วันหลังหน่ะ จะเข้ามาขอ มาพูดกันดีๆให้รู้เรื่องก่อนนะครับ ไม่ใช่พูดเร่งๆแบบนี้ เอาเบอร์โทรมาด้วย เผื่อคุณลืมคืน ผมได้ทวงได้”

ท้องฟ้านั้นมีสีเข้มอ่อนแตกต่างกัน ทั้งที่ก็เป็นฟ้าผืนเดิม ที่ตลาดหัวรอ นารีเลือกซื้อขนมสองสามอย่างก่อนกลับบ้าน ที่นี่มีอาหารขายมาก มีไก่ชุบแป้งทอดที่ทำคล้ายกันกับที่ขายที่หน้ามหาวิทยาลัย การที่เธอหยุดอยู่บ้านเพื่อทำรายงานนั้น เป็นผลดีกับครอบครัวเธอด้วย เธอต้องดูแลหลานๆแทนแม่ ซึ่งไปพยาบาลยายที่นครปฐม

“สวัสดีครับ ผมเองนะ พรุ่งนี้จะให้ผมยืมต่อให้ไหม ดูท่าคุณคงไม่มามหาวิทยาลัย”
“อ่อ..เธอนั่นเอง นี่เบอร์เธอหรอ พรุ่งนี้ไปคืนหนังสือให้ ไม่ต้องกลัว ว่าแต่เธอชื่อไรเนี่ย เรายังไม่เคยคุยกันแบบจริงจังเลยนี่นา” น้ำเสียงตื่นเต้นของนารีบอกว่าดีใจกับการได้รับสายจากชายหนุ่มที่เธอให้เบอร์ไว้ นานถึง 6 วัน

“ชื่อ..ชื่อ...อืมเรียกผมว่า ขิต ผมหน่ะชื่อจริงๆชื่อลิขิต แต่ผมว่ามันเหมือนพระเอกหนังไงไม่รู้ เรียกไอ้ขิก ไอ้ขิตไรก็แล้วแต่เหอะ ว่าแต่คุณเถอะ ชื่อไรครับ”
“ชื่อนารี เรียกนา เรียก รีอะไรก็ตามใจ ชื่อเรียกฉันมีเยอะ อยู่กับอีกคนเขาก็เรียกอีกอย่างหนึ่ง ตามสบายแล้วกัน นี่กินข้าวยังคะเนี่ย”
“คนไทย” ลิขิตเปรยเบาๆ
“อะไรนะ เมื่อกี้เธอว่าไรนะ พูดชัดๆสิ”

“เปล่าๆ ผมก็แค่บอกว่าคุณนี่นิสัยคนไทย คนไทยโบราณด้วย ถามเรื่องกินข้าว กินปลา ลมฟ้าอากาศ อะไรพวกเนี้ย ถามเยอะจริง ผมพูดเล่นหน่ะ แค่นี้นะ คุยมากมันเปลือง ไว้เจอกันที่ห้องสมุด ผมจะไปหาคุณ รอผมด้วยนะ ใกล้ๆห้องสมุดปิด ผมจะรอคุณที่ม้านั่งสีดำอย่าลืมล่ะคุณ บายครับ”

นารียังไม่ทันได้กล่าวร่ำลา ปลายสายก็ตัดไปเสียแล้ว เธออมยิ้ม กับมิตรภาพที่เข้ามาอย่างจู่โจม เธอจำได้ ผู้ชายคนนี้เคยไว้ผมเกรียน เคยสวมนักศึกษาเด๋อๆ แต่งตัวตามใจรุ่นพี่ เดินเป็นแถว เป็นขบวน ใบหน้าขรึมไม่ต่างจากคารมของเขาเลย จากคนที่เคยพบกัน มาถึงเวลาได้รู้จัก เธอตื่นเต้นกับมิตรภาพแบบนี้มาก เธออยากสานวันคืนให้ยาวไกล หากแม้เรียนจบไปจากที่นี่แล้ว ก็ยังอยากต่อมิตรกันด้วยทางอื่น ที่ไม่ใช่แค่การยืมหนังสือให้กัน

นารีหยิบหนังสือมาอ่านอีกครั้ง รายงานของเธอเสร็จไปเมื่อวานนี้ เธอทบทวนจนแน่ใจว่าจะไม่ต้องการใช้หนังสือเล่มนี้อีก มีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่ารีต้องการยืมมาอ่าน มีหนังสือพวกวรรณกรรมที่เธออยากอ่าน แต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้ เพราะลำพังหนังสือที่ใช้สำหรับทำรายงานก็คิวล้นจนไม่มีที่จะให้ยืมอยู่แล้ว

“ลิขิต...เธอนี่มันทำฉันมีปัญหา” นารีนอนหลับไปทั้งรอยยิ้ม

“ขณะนี้เวลา 18.45 นาฬิกาเหลือเวลาอีก 15 นาทีห้องสมุดจะปิดให้บริการค่ะ” เสียงบอกเวลาในห้องสมุดดังขึ้น เป็นสัญญาณให้นักศึกษาเตรียมเก็บข้าวของ ยืม-คืนให้เรียบร้อย นารีคืนหนังสือให้ลิขิตเรียบร้อยแล้ว เวลานี้เธอพร้อมแล้วที่จะกล่าวคำว่าสวัสดี กับเขาคนนั้น

“เอ้าเฮ้ย...รี มานั่งทำเหี้-ไรตรงนี้เนี่ย ไม่กลับบ้านวะ” ธงชาติเข้ามาตบไหล่นารี
“มารอเพื่อน นัดเขาไว้” นารีขยับตัวมองหา ไม่มีวี่แวว

“เพื่อนคนไหนวะ เพื่อนใหม่หรอ นั่นแน่ คั่วเด็กหรอว้า ไอ้รี มึ-นี่นะมีแต่เรื่องผู้ชาย ถ้าวันนึงมันตายหมดโลก มึ-ทำไงวะ”
“แหม เพื่อนโว้ยเพื่อน ไปปากเหี้-ที่อื่นเลยไป”
“งอนเว้ยงอน ไปหล่ะ รายงานเสร็จแล้วสิเห็นเอาหนังสือมาคืนกองโต”
“อืม เสร็จแล้ว พรุ่งนี้ส่ง เจอกันนะ เดี๋ยวรอเพื่อนตรงนี้ก่อน สักพักเขาคงมา เจอกันหว่ะ”

ธงชาติออกจากห้องสมุดเขาชนกับผู้ชายร่างเล็ก อย่างไม่ได้ตั้งใจ หนังสือของธงชาติ ตกเสียงดังลั่นห้องสมุดที่กำลังจะปิด ความเงียบเชียบทำให้ทุกสายตาที่ยังหลงเหลือเหลือบหันไปมองตามเสียงนั้น

“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมช่วยเก็บ”
“ไม่ต้อง..ทีหลังก็ระวัง มันเสียเวลาไหมเนี่ย”

ธงชาติสบตาลิขิตพักหนึ่ง เขาไม่พูดอะไรต่อ ความนิ่งเฉยของลิขิตทำให้ธงชาติไม่กล้าปริปากต่อว่าอะไร ทั้งที่เขามีนิสัยชอบโทษคนอื่น คนรอบข้างจะผิดเสมอ นารีเข้าใจเพื่อนคนนี้ดี เธอจะยอมให้ดุด่ามากว่าเถียง เพราะนั้นหมายถึงเรื่องจะไม่จบง่ายๆ แต่สำหรับครั้งนี้ ธงชาติอาจต้องทบทวนแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับท่าทีของเขา ที่มีต่อลิขิต

“รี รอผมนานไหม ขอโทษด้วยที่มาช้าพอดีผมเพิ่งทำงานเสร็จ” ลิขิตเดินเข้าไปทักนารีซึ่งกำลังเปิดสูจิบัตรอยู่ที่ม้านั่งสีดำนั้น
“ไม่นานๆ มีไรป่าวที่นัดเนี่ย” นารีปิดหนังสือเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“อ่อ ผมแค่อยากเปิดโอกาสให้คุณตอบแทนเรื่องที่ให้ผมยืมหนังสือให้ ว่าไง จะตอบแทนไหม วันหลังจะได้ให้ยืมอีก ถ้าทำนิสัยดี”
“เดี๋ยวๆ เดี่ยวนะ เธอจะให้ฉันตอบแทนงั้นรึ เอาไรล่ะ อย่าแพงนะ ไม่มีเงิน ขี้เล่นนะเราเห้นขรึมๆ”

“ข้ามไปวังหลังกัน” ลิขิตเงียบไปสักพัก “ผมรู้ว่าคุณแอบมองผมมานานแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผมก็มองคุณไง”
“เฮ้ยบ้าเปล่าๆ..ใครมองวะ เธอนี่ขี้ตู่นะ ไปๆจะไปวังหลังก็ไป กินข้าวใช่ไหม ไปๆอย่างช้า ขอร้อง คนหิวๆอยู่”

เรือข้ามฝากพานารีและลิขิต ห่างไกลออกจากฝั่งท่าช้าง ระลอกน้ำทำเรือโคลงเคลง “ว่ายน้ำเป็นไหม” นารีถามขึ้นเมื่อมองเห็นเรือบรรทุกทรายแล่นผ่าน ทำให้เรือข้ามฝากเต้นระบำกับริ้วน้ำเจ้าพระยา เคล้าจังหวะการเต้นของหัวใจ

“ไม่เป็นครับ”

“อันตรายนะ ตกเรือไปทำไงเนี่ย” ไว้สอนให้แล้วกัน คิดตังค์นะไม่สอนฟรี ฮา ฮา

เรือเทียบท่า ทางขึ้นเรืออยู่ทางท้าย ผู้โดยสารรอบใหม่ลงทางกลางลำเรือ นารีก้าวนำไปก่อน ลิขิตจึงขึ้นตาม เขามีท่าทีกลัวเรือแยกออกจากท่าเล็กน้อย นารียื่นมือรับลิขิต เวลานี้เขาช่างเหมือนเด็ก ไม่ขรึมดุอย่างที่แล้วมา ลิขิตยิ้ม รอยยิ้มของเขามีเสน่ห์ลึกลับ นารีหลบสายตาและปล่อยมือเมื่อเขาขึ้นจากเรือเรียบร้อยแล้ว



(รออ่านต่อนะ)

Monday, October 16, 2006

ความรัก (ที่มีตึกคณะสถาปัตยกรรมมาคั่น)


ความรัก...บางครั้งก็จับต้องสัมผัสไม่ได้
ฉันเคยคิด..ความรักของฉัน ฉันเลือก ฉันออกแบบ ฉันปรารถนา..ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากให้เธอรักฉันนะ

นานเท่าไรแล้วคนดี..ที่เราได้แต่เฝ้ามองกันอยู่อย่างนี้ ฉันจำไม่ได้หรอกนะ อาจเป็นฤดูหนาวเมื่อ ปี 47 ปีที่ฉันเข้าใกล้เธอมากที่สุด
จำได้ไหมนะ เราเจอกันระหว่างทางไปมหาวิทยาลัย เธอมองฉัน เราเรียนที่เดียวกัน เรามีตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มากั้น ห้องทำงานของเธออยู่ข้างๆตึกคณะของฉัน เรากินข้าวที่โรงอาหารเดียวกัน...น้ำมะพร้าว เธอชอบสั่งตัดหน้าน้ำใบบัวบกของฉัน เธอจำได้ไหม

ตอนที่เธอผมยังสั้น...เธอดูเด็กกว่านี้นะ หนวดเคราของเธอทำเธอใบหน้าคมดุ แต่แววตาเธอสิ ยังอ่อนโยนอยู่ดี ฉันยังเคยเห็น เธอมองมาที่ฉัน แววตาขี้สงสัย อยากรู้ใช่ไหม ว่าฉันลงรถเมล์ป้ายไหน ฉันเองก็อยากรู้ว่าบ้านของเธอหน่ะ หลังคาสีอะไร...

วันไหนถ้าฉันออกจากบ้านสาย เราจะได้เจอกันทุกครั้งเลย 8.30 น. เธอจะได้เจอฉัน ฉันคิดว่ามันคือเรื่องบังเอิญ ฉันรู้ว่าเธอจะออกมาเวลานี้ ฉันมาเวลานี้ เราเคยยืนใกล้กัน ผมของเธอสัมผัสร่างกายฉัน ผมเธอยาว..อ่อนนุ่ม น่าสัมผัส ฉันภาวนาให้รถติด และอย่าให้เธอขยับไปไหนเลย ฉันขออยู่ใกล้ๆแบบนี้ เท่าที่มีโอกาส

เธอลงป้ายกรมศิลปากร เพราะนั่นเป็นทางเข้าคณะของเธอที่ใกล้ที่สุด สำหรับฉัน ฉันลงที่ท่าช้าง เดินเข้าห้องสมุด อยู่ทำรายงานที่นั่น...ระหว่างวัน ฉันหาเรื่องเดินไปที่ห้องภาพพิมพ์บ่อยๆ เธอยังคงทำงาน เธอขยันดีนะ ผมยาวของเธอบดบังใบหน้าขาวๆ ฉันยังจำเสื้อผ้าที่เธอสวม ชุดที่มีไม่มาก ฉันจำได้ดีเลย...เสื้อสีขาวนวล สีเขียว และสีฟ้าลายทาง เธอชอบมาก

ภาพพิมพ์ของเธอได้รางวัล...เธอได้เหรียญทอง เหรียญเดียวกับพ่ อ ฉันเลย เธอเก่งมาก...ฉันชื่นชมเธอ งานของเธอ อยู่อย่างนี้ มานานเท่าไรแล้ว...ฉันอยากรู้จังเลยนะว่าในหัว ในใจของเธอ เคยคิดแบบนี้บ้างไหมนะ

มีอยู่งานหนึ่ง งานแสดงศิลปะของครูมณเฑียร บุญมาที่หอศิลป์เจ้าฟ้า..เธอนั่นเองที่เลือกเข้ามายืนใกล้ๆฉัน..เธอวัดส่วนสูงใช่ไหม ฉันแอบคิดนะว่าเธอสงสัยสิท่าว่าฉันตัวสูงแบบนี้ เธอจะเตี้ยกว่าหรือเปล่า ชายเสื้อของเธอ แขนเสื้อของเธอ ยังสะกิดให้ฉันรู้ตัว เธออยากรู้จัก อยากพูดคุย ใช่ไหม

วีระพันธ์...เธอรู้จักชื่อฉันหรือเปล่า...ฉันอยากมีชื่อเสียง ให้ชื่อของฉันเข้าหูเธอบ้าง เผื่อเธอจะเรียกชื่อฉันได้ถูกต้องขึ้น ไม่ใช่เพียงเธอคนนั้น อยู่อย่างนั้น...

สายตาคู่เดิมของเธอ...ตาเล็กๆในม่านผมรุงรัง เธอน่ารักเหลือเกิน นิ้วเรียวยาวที่ทำงานศิลปะสวยงามให้ได้ชมกัน ฉันปลื้มนะ..วันนี้ที่เธอหันมาฟังฉันและเพื่อนคุยกัน..เธอได้ยินใช่ไหมว่าฉันชื่ออะไร

ความรักของฉัน เคยนอนนิ่งในวันที่ฉันเห็น...ว่าใครคนนั้น มีคนอยู่ดูแลข้างๆ ฉันเดินออกห่าง และเฝ้ามอง อย่างที่เคยมอง บางครั้งความสุขกับความรัก นั่นอาจหมายถึงการแสดงความรักในใจเงียบๆ มองเห็นความน่ารักของเขา มองเห็นความสุขของเขา ถึงใจเราบอก "มันไม่พอหรอก" แต่อย่างน้อย ห้วงเวลานั้น เราก็สุข ใช่ไหม ของตวงความรู้สึกนั้นไว้...เพื่อรัก รักของเรา คนที่สายตาสวยที่สุดเท่าที่เคยพบ
***

ฉันเห็นเธอยิ้มให้เพื่อนของเธอ...เพื่อนที่ยืนอยู่หลังฉัน สายตาของฉันมองเห็นเสียก่อน...ฉันรับมาแล้วนะ รอยยิ้มเจ้าชู้ที่น่าหยิกที่สุด



Saturday, October 14, 2006

สามสิบสามปีเลือดขาวยังคาวคลุ้ง

ภาพจากhttp://www.14tula.com/


เลือดขาวยังคาวค้าง
สิเปื้อนร่างผู้ภักดี
บริสุทธิ์หยุดอธรรมี
ด้วยวิถีวิธีใคร

บ้างร้องตะโกนก้อง
อย่าลำพองปองไผท
แผ่นดินพ่อสร้างไว้
จึงหาใช่ของใครเทียว

บ้างง้างมีดตอบสู้
หวังเพียงกู้ชูเฉลียว
ปัญญามีแง่เดียว
ใช้ขับเคี่ยวต่อสู่ไป

จึงตายไร้นามชื่อ
ร่างกลบรื้อได้หนไหน
กี่ผู้กี่คนไทย
ที่ต้องตายไปกับฟอน

ฟืนสุมรุมเร้าไห้
นี่หรือใช่บทคำสอน
ธรรมนูญดังบทกลอน
กล่อมภมรเมื่อหลับตา

ยังหวังให้ดินชาติ
มีอำนาจร่วมรักษา
ก้องเกียรติเมื่อนิทรา
ดินกลบหน้ายังอุ่นใจ

ตุลาเอยผ่านพ้นวนอีกหน
สามสิบสามถามกมลอยู่หนไหน
สิ่งที่เรียกกันว่าประชาธิปไตย
วันนี้ใช่แน่แล้วหรือคือความจริง

เลือดขาวยังคาวคลุ้ง
เพียงหมายมุ่งปรุงบางสิ่ง
ให้มองเห็นดีด้อยร้อยคำวิง
อย่าให้เลือดจมทิ้งนิ่งหายเลย.

Friday, October 13, 2006

ฝันร้ายของแม่

"ทุกเช้าฉันจะได้รับจดหมายจากชายคนหนึ่ง ...ทุกเช้าฉันจะอ่านแล้วยิ้ม...ฉันเก็บจดหมายเหล่านั้นไว้จนเต็มกล่องใบใหญ่ ฉันมีความสุขนะ"

ประโยคสุดท้ายก่อนที่สิรินจะจากไป เธอเขียนไว้บนกระดาษแผ่นเล็ก..เธอฆ่าตัวตายในคืนที่ฝนตกกระหน่ำ ทั้งที่เธอเป็นคนกลัวความสูง แต่เธอเลือกที่จะดิ่งลงกระแทกกับพื้นล่างอย่างไม่สงสารร่างกาย ที่แม่ของเธอเฝ้าถนอมมานานกว่า 20 ปี เธอตายทันทีโดยไม่มีอาการทุรนทุราย ร่างไร้ลมหายใจของเธอถูกนำส่งโรงพยาบาล แม่และน้องสาวเป็นลมล้มพับกับการจากไปอย่างกระทันหันของเธอ ไม่มีใครสามารถบอกอะไรได้ ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร

ดวงหน้าของสิรินไม่มีริ้วรอยจากการกระแทก เธอนอนหลับ แม่เธอพร่ำบอกเช่นนั้น
"ลูกจ๋า ตื่นขึ้นมาได้ไหม แม่รักลูก ลูกได้ยินไหม ลูกแม่" เสียงโหยหวนของแม่ ดังไม่พอที่จะปลุกให้สิรินตื่นขึ้นจากนิทรา ที่เธอเลือก มุมปากบอกว่าเธอมีความสุข ทว่าหยาดน้ำตาของแม่ไม่ใช่น้ำตาจากความอิ่มสุข เธอกอดร่างที่บอบช้ำนั้น ร่างกายของแม่สั่นสะท้าน สินิตย์ยืนร้องไห้อยู่ปลายเท้าพี่สาว

หลังจากที่พ่อหย่าร้างไปแล้ว สิรินและสินิตย์ก็ตั้งใจไว้ว่าจะช่วยกันดูแลแม่

"พี่จะเรียนให้จบไวๆ ทำงานให้ได้เงินเยอะๆ แม่จะได้เลิกทำขนมขาย นิตย์ต้องช่วยกันนะ พี่ไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้อีกแล้ว" สิรินกล่าวพรางลูบผมน้องสาววัยเดียวกัน
"จ๊ะพี่..นี่ฉันก็ว่าจะไปสอนการบ้านลุกป้าศรีนะ ได้วันละ 50 บาท ฉันก็เอาแล้ว"สินิตย์ยิ้มและกอดพี่สาวไว้

"ไหนเล่าพี่ ไหนพี่จะอยู่ดูแลแม่ ทำไมทิ้งฉันไว้แบบนี้ ทำไมล่ะพี่"

แม่ล้มป่วยลงบ่อยครั้ง นับจากวันเผาสิริน ลูกสาวคนโตของเธอ เหลือเพียงเถ้าละออง นี่หรือคือพยานรักของพ่อ และแม่ เวลานี้มาเร็วเกินไป วัยแรกสาวที่สมบูรณ์แข็งแรง ควรจบลงด้วยการฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือ

"นิตย์..อย่าทิ้งแม่ไปอีกคนนะลูก ลูกเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่แม่มี รินเขาจากแม่ไปแล้ว ลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่แม่เหลือ อย่าทำร้ายหัวใจแม่แบบพี่นะลูก แม่ไม่ไหวอีกแล้ว เมื่อก่อนตอนอุ้มท้องลูก แม่ไม่รู้หรอกว่าแม่จะมีลูกแฝด ท้องแม่ใหญ่มาก พอวันคลอดถึงรู้ว่าแม่มีลูกสาวแฝดสองคน ดูสิ หน้าเหมือนกันเหลือเกิน" แม่ลูบไล้ใบหน้าของสินิตย์น้ำตาของคนทั้งสองออกมาพร้อมกัน มือหยาบกระด้างสั่นระริก ยิ่งมองสินิตย์ แม่ยิ่งคิดถึงสิริน

"แม่จ๋า นอนเถอะนะดึกแล้ว เดี่ยวหนูนวดขาให้นะ แม่จะได้หายเมื่อย นะแม่นะ แม่นอนน้อยแบบนี้ ถ้าแม่เป็นอะไรไปอีกคน หนูจะอยู่ยังไงเล่าแม่"
"แม่นอนไม่หลับหรอกลูก แม่อยากให้นิตย์อ่านหนังสือให้แม่ฟัง เล่มที่รินชอบอ่านหน่ะลูก ได้ไหม"
"ได้ค่ะแม่ ต่อไปนี้ อะไรที่พี่รินเคยทำให้แม่ หนูจะเป้นคนทำให้เอง นะคะแม่ นอนนะคะ เดี๋ยวหนูอ่านหนังสือให้ฟัง"

สินิตย์อ่านหนังสือเรื่องหัวใจคนจร จวนจะจบเล่มแล้ว แม่ยังไม่วางสายตาจากเธอเลย เมื่อจบเล่มแล้ว แม่จึงหลับไปพร้อมคราบน้ำตา แม่แก่ลงไปมาก ตาบวมเปล่งและช้ำแดง สินิตย์ห่มผ้าให้แม่ แล้วเธอจึงไปนั่งคุดคู้ที่มุมห้อง เธอเอามือปิดปาก และร้องไห้ เสียงสะอื้นของเธอเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจแม่..เธอสับสนต่อการจากไปของพี่สาว เธอไม่รู้เลยว่าจะหาสาเหตุของการจากไปครั้งนี้ กับตึกที่เกิดเหตุ เป็นดาดฟ้าของหอพัก ที่เธอและพี่สาวมักจะขึ้นไปคุยด้วยกันบนนั้น สัญญาว่าจะเล่าทุกเรื่อง จะปรึกษากันเมื่อมีปัญหา บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว สินิตย์กลัวการอยู่เพียงลำพัง

สินิตย์หยิบกระดาษที่เป็นลายมือของสิรินขึ้นมาอ่าน กล่องใบใหญ่ ใบไหนกันที่เก็บจดหมายผู้ชายคนนั้น เธออยากอ่านว่าจดหมายนั้นเขียนว่าอะไร แล้วเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายของพี่สาวหรือไม่

http://www.hotmail.com

สินิตย์ไม่ได้ใช่อีเมล์นานแล้ว นับจากวันที่เธอทำงานให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอด อีเมล์ของเธอและพี่สาวเป็นอันเดียวกัน รหัสคือวันเกิดของเธอทั้งสองคน

ในนั้นมีจดหมายของคนคนเดิมถึง 45 ฉบับ นี่หรอกหรือ กล่องใบใหญ่ของพี่สาว สินิตย์อ่านตั้งแต่ฉบับแรก จนฉบับสุดท้าย มันคือจดหมายมรณะที่ดึงหัวใจพี่สาวให้จมอยู่กับความรัก ความรักที่ไร้รูปร่าง ตัวตน เธอเกลียดผู้ชายที่ใช้ชื่อว่า สมภพ ใครสักคนที่อาจเดินสวนทางกับเธอ ใครกันที่พี่สาวมอบชีวิตให้ขนาดนี้

>>>ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ขอให้รู้เอาไว้ ว่าคุณได้ทำร้ายชีวิตของสิรินและพวกเราไม่มีวันให้อภัย

ไม่มีจดหมายตอบกลับ สินิตย์อัดอั้นที่ไม่มีวันได้รู้ว่าใครกัยคือสมภพ ชายคนรักของพี่สาวเธอ..ใครกันที่มีอำนาจสามารถพรากชีวิตที่สดใสของพี่สาวไปจากอ้อมแขนแม่

>>>หากวันหนึ่งคุณได้รู้จักความสูญเสีย เมื่อนั้นคุณจะรู้จักความรัก

บางคำของสมภพก้องอยู่ในหัวของสินิตย์ นี่อาจเป็นประโยคเชิญชวนให้พี่สาวของเธอฆ่าตัวตาย...สินิตย์เดินขึ้นมาบนดาดฟ้าของหอพักที่เกิดเหตุ เพื่อนของเธอพักอยู่บนชั้นสี่ เธอมาหาเพื่อนบ่อยขึ้น เพื่อขึ้นมาบนดาดฟ้า นั่งคิดถึงพี่สาว และลุกคลำร่องรอยเท้าซึ่งอาจยังมีคราบผิวกายของสิรินหลงเหลือ

"แม่"
"นิตย์อย่ามาที่นี่อีกเลย แม่รู้ว่าลูกอยากหาคำตอบกับเรื่องต่างๆ แต่ลูกรู้อะไรไหม สิ่งที่แม่ต้องการคืออะไร" แม่ถอนหายใจยาว "แม่อยากให้ลูก อย่าสนใจเรื่องที่รินตาย...แม่กลัว ให้รินตายไปครั้งเดียวได้ไหม ยิ่งลูกเข้าใกล้เรื่องพวกนี้ เหมือนแม่กำลังจะเสียลูกไป"

"แม่คะ แม่ไม่อยากรู้หรอกหรือว่าทำไม พี่เขาถึงทำแบบนั้น"
"รู้เพื่ออะไรหรือลูก รู้เพื่อตอกย้ำว่า รินไม่รักแม่อย่างนั้นหรือ แม่เสียพ่อไป พ่อทิ้งแม่ไป ครั้งหนึ่งแม่รอพ่อ หวังว่าจะกลับมา แม่รอ รอทุกวัน แม่ทรมานมากลูก กับความหวังที่ไม่มีวันเป้นจริง ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสัน ทำไมเราจะต้องทรมานตัวเองแบบนั้น แม่รักลูกทั้งสองคน แม่ไม่อยากเสียใครไป แต่ถ้ารินเขาเลือกแล้ว แม่ก็ห้ามอะไรไม่ได้ แม่เลี้ยงได้แต่ตัวจริงๆนะลูกจ๋า เพียงแต่แม่ก็อยากให้เชื่อฟังแม่บ้างเท่านั้นเองลูก"

"แม่ไม่เสียใจแล้วหรือคะ หนูเห็นแม่ร้องไห้เมื่อหลายเดือนก่อน"
"เสียใจนะ แม่ยังนึกถึงรินอยู่ แต่แม่ต้องมีชีวิตเพื่อลูกสาวแม่อีกคนหนึ่ง เข้าใจไหมนิตย์ ว่าเราต้องมีชีวิตอยู่ อย่าเดินถอยหลังอีกเลย กลับบ้านนะลูก"
"ค่ะแม่"

ขณะข้ามถนนสินิตย์ปล่อยมือแม่ ร่างของเธอล้มลงด้วยแรงกระแทกจากรถยนต์ แม่ของเธอยืนนิ่งอยู่บนเกาะกลางถนน สินิตย์หัวฟาดพื้น เธอกำลังง่วงนอน เธอกำลังหลับ รอยยิ้มเมื่อมองเห็นว่าแม่ปลอดภัยเป็นภาพสุดท้ายที่แม่เธอเห็น

ไม่มีน้ำตาของแม่ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แม่กอดร่างบอบบางของสินิตย์ เธอตายระหว่างทางส่งโรงพยาบาล

แม่นั่งเหม่อที่ชานหน้าบ้าน ต้นเดฟที่ลูกสาวทั้งสองคนช่วยกันปลูก ยังเขียวงามดี และแม่รดน้ำให้ทุกวัน
เธอบอกกับตัวเองว่า เธอเพิ่งตื่นจากฝัน ฝันของเธอเรื่องยาวมาก ฝันว่าได้แต่งงานและมีลูกสาวสองคน เธอยังจำวันเจ็บปวดในวันให้กำเนิด และความรู้สึกร้าวลึกในวันที่ลูกสาวจากไปทีละคน เธอดีใจที่เธอตื่น เธอคิดว่าดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ใช่ความจริง

จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย แม่คงต้องกล่อมตัวเองไปอย่างนั้นว่า สิ่งนานาที่เกิดขึ้น มันคือความฝัน...ความฝันเท่านั้น

ละลายความฝัน

ค่ำคืนที่แสนมืดมิด หัวใจของฉันโหยหาความอบอุ่นจากใครบางคน คนที่เคยเติมความหวังให้ฉัน ใครบางคนที่ปลอบประโลมยามท้อเหนื่อย และราวกับว่าจะสิ้นเรี่ยวแรงจะต่อสู้...ระยะทางบนเส้นทางสายฝัน มันช่างห่างไกลสุดตา เขาบอกกับฉัน "ลูกต้องอดทน"

ในฤดูฝนที่ดูเหมือนจะอยากสั่งฟ้าด้วยการกระหน่ำตกแล้วตกเล่า ทว่ามันไม่ใช่ มันคือมรสุมและความแปรปรวนของอากาศ...ที่เชียงใหม่ อากาศคงไม่สดชื่นนัก พ่อบอกว่าไม่สบายบ้าง แต่ยังทำงานได้อยู่ พ่อมีความหวังและยืนหยัดมาตลอด เท่าที่รู้จักพ่อ 25 ปี พ่อทำงานเรื่อยมา งานศิลปะที่พ่อรัก...ฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่รู้ว่าพ่อมีความอดทน อดทนต่ออากาศ สภาพแวดล้อมที่บางวันไม่สู้สบอารมณ์นัก และสุขภาพที่อ่อนแอลง พ่อทำได้ พ่อแสดงให้ฉันรู้ว่าความมุ่งมั่นนั้นจะเกิดผลดีอย่างไรบ้าง

ความสุขอย่างประหลาดของฉันอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความอ้างว้าง เวลาที่ฉันมีเพียงตัวเปล่า เดินดุ่มคนเดียวในสวน ฉันมีความสุขในใจลึกๆ ความเป็นอิสระเสรีล้อมรอบกายแต่ว่าหนาวเหน็บมากนะ การที่เราต้องเรียนรู้การอยู่ลำพัง เพียงลำพัง แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้จะสุขใจอยู่บ้าง ที่ไม่ต้องมีใครมาทำให้ชีวิตต้องบิดเบี้ยวไปตามความปรารถนาของผู้อื่น แท้จริง การมีผู้คนมาขัดจังหวะเล็กๆ ก็ทำให้หัวใจเราฉุกคิดอะไรได้บ้างเช่นกัน นี่หล่ะชีวิต ทั้งความสุขและทุกข์มีข้อต่อรองที่ร้ายกาจเสมอ

มีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังถึงความฝันที่จะเป็นศิลปิน (เส้นทางนี้ฉันก็เคยคิดอยากไปนะ) ฟังเขาเล่าเหมือนดูเด็กวาดรูปบนพื้นทราย วาดง่ายเพียงใช้นิ้วขีดเส้นไป-มา บนพื้นทรายชุ่ม...ดวงตาของเขามีประกาย เขายังเรียนไม่จบ เขายังไม่รู้หรอกมั้งว่า ถ้าต้องใช้เงินเพื่อดูแลตัวเอง พ่อ-แม่ และถ้ายังต้องเดินไปสมัครงานตามบริษัทต่างๆนั้น หนทางศิลปินไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยเพื่อนเอ๋ย

กว่าที่เขาจะเรียนรู้ถึงบทนี้ เขามีความสุขกับการแต่งเติมความฝันให้สวยงามยิ่งขึ้น เป็นรูปร่างที่ใกล้ความจริงที่สุด ใครจะรู้คลื่นน้ำจะซัดเข้าฝั่งเมื่อใด จะกลืนกินความฝันสักเท่าไร เมื่อเวลานั้นมาถึง เพื่อนคงได้รู้...ฝันที่วาดไว้อาจถูกลบหายไปด้วยบริบทของสิ่งแวดล้อม เหลือไว้ในหัวใจเท่านั้นว่า เราวาดหวังสิ่งใด เราจะไปทิศใด นี่ต่างหากที่สำคัญ

การฟันฝ่าเมื่อขจัดข้อต่อรองของโชคชะตา การยืนยัน และเรียนรู้บททดสอบของชีวิตเป็นการพิสูจน์ตัวตนที่แท้ ว่าเราจริงจังกับสิ่งที่เราคิด ภาพที่เราวาด ภายใต้ความทะยานเต็มกำลังเมื่อครั้งยังเด็ก บัดนี้เราทำได้ไหม ยังคิดจะทำอยู่หรือเปล่า

ในทะเลแห่งความใฝ่ฝัน...ที่นั่น มีผู้คนจมหายทีละคน...บางคนว่ายน้ำข้ามพ้น รอด มีความสุข บางคนไม่อาจว่ายข้ามไปได้...จมจ่อม และเศร้าหม่น ทั้งชีวิตเฝ้าถามชะตาว่าเหตุใด ถึงขีดเขียนให้ชีวิตเป็นแบบนี้

ฉันเอง...เหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็น ท่าทางที่กรุยน้ำ ไม่ต่างจากแมลงปีกบางที่ผลัดลงสู่แอ่งน้ำ ปีกเปียกเสียงแล้ว แม้ไม่จม ก็อาจสิ้นใจในที่สุด

ความฝันทิ่มแทงย้ำเรียกฉันทุกวัน ทั้งที่ฉันว่ายน้ำไม่แข็ง ..ฉันอาจจะจม...แต่เสียงของชายคนนั้น "ลูกพ่อ อดทนนะลูก"
ทำให้วันนี้ฉันไม่มีความหวัง..อบอุ่น กับความฝันที่หนทางยาวไกลมากกว่ามาก แต่นี่คือสิ่งเดียว ที่ทำให้ฉันอุ่นใจเมื่อยามคิดถึง

ฉันไม่เคยวาดรูปบนพื้นทราย ฉันไม่อยากมองเห็นสายน้ำซัดลบภาพที่วาดไว้ ให้คละกลั้วไปกับเม็ดทรายเม็ดอื่น...ฉันวาดมันในหัว ไม่มีใครทำลายได้ แต่อาจทำให้ลืมหายได้ เพียงฉันเลิกใส่ใจ...แต่จะมีวันนั้นหรือ..

Wednesday, October 11, 2006

โกปี้...ที่บางลำพู


ตั้งแต่เริ่มนอนดึก กาแฟก็กลายเป็นเพื่อนที่ดี

การเริ่มนอนดึกของใครหลายคน อาจมีบ้างที่ตรงกัน คล้ายกัน หรือต่างกันไปเลย
ฉันคนหนึ่งล่ะที่ติดนิสัยการนอนดึกมาตั้งแต่เรียนมัธยม เพียงแต่ว่า เวลาในการเข้านอน มันคืบคลานออกไปไกลกว่าเดิมเท่านั้น...เพราะบางวันอาจนอนเช้า

นานเท่าไหร่แล้วที่ฉันดื่มกาแฟ...ดื่มจนหมอสั่งห้าม เพราะโรคหัวใจและกระเพาะอาหาร แต่ฉันมันดื้อ..ฉันเพียงแค่ลดปริมาณอย่างน้อยฉันก็ไม่ใช่นักดื่มกาแฟ เพียงแต่กระหายรสชาติ กลิ่น ควันเท่านั้น

กาแฟที่ไปดื่มบ่อยมากที่สุด เห็นจะเป็นที่หน้าคณะจิตรกรรม ที่นั่นกาแฟอร่อย บรรยากาศดีมาก ร่มเย็น และมีสีสัน ในบางวันที่ต้องไปทำรายงานฉันจะพักสายตาจากการอ่านหนังสือ ด้วยการหาเรื่องกินเค้ก และดื่มกาแฟ..ทั้งที่ประเด็นมันคืออาหารตามากกว่า

หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง
สิ่งนานาฉันหาได้จากบางลำพู ถนนที่ใกล้ที่ทำงานมากที่สุด...โกปี้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดย่างเป็นกาแฟรสประจำที่ฉันติดใจ

รสชาติของโกปี้ร้านนี้ เข้ากันดีกับก๋วยเตี๋ยวเป็ดย่าง ได้กลิ่นเครื่องยาจีน และกลิ่นหอมของโกปี้สูตรเก่า...ราวกับว่า ฉันกลับไปเป็นเด็กดูดโอเลี้ยงหลังวัดอีกครั้ง ความหิวจางหาย ความสบายอารมณ์มาแทนที่ ถึงจะไม่มีใครที่รู้จักเดินผ่านร้านนี้ไม่มีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยรู้เลยว่า

ในซอยเล็กๆแห่งหนึ่งบนถนนบางลำพู มีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่น่ากิน มีโกปี้ที่แสนหอม..และมีฉันที่มานั่งรำลึกความหลังเพียงลำพัง...
เคยมีคนถามว่า นอนดึกๆแบบนี้ ทำไมไม่รู้สึกง่วงบ้าง
จะบอกเขา ว่าดื่มโกปี้ที่บางลำพูเท่านั้น เขาจะเชื่อไหมนะ....

แม้ว่าบรรยากาศจะน่านอนแค่ไหน แต่คงไม่ดีแน่ ถ้าจะรับผิดชอบตัวเองด้วยการง่วงซึม ในขณะที่ใครต่อใครตื่นตัวที่จะทำงาน...งานหนังสือที่รัก ฉันก็จะไม่คิดว่ามันน่าเบื่อ หากวันหนึ่งฉันเบื่อ ฉันจะไม่มีวันทนจนต้องบ่นกับใคร
*
*
*จะเรียกว่า โกปี้ร้านนี้ช่วยชีวิตไว้ก็ได้นะ..ดื่มเมื่อไหร่สดใสเมื่อนั้น..

คืนนี้อยู่ดึก...ทำให้นึกถึงโกปี้ร้านเก่า พรุ่งนี้ฉันจะไปดื่มอีกแก้ว

ตลอดเวลา


เคยทำอะไรแบบเดิมตลอดเวลาไหม...ไม่เคย...
ฉันตอบได้ทันทีว่าไม่เคย นอกจากการหายใจแล้วฉันไม่เคยคิดทำอะไรอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลา

แน่ล่ะว่า มันเป็นเรื่องสามัญมาก..ใครต่อใครก็ไม่ต่างไปจากนี้ แต่ที่ฉันรู้มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถทำมันได้มากรองลงมาจากการหายใจ นั่น คือคิดแล้วถ่ายทอดมันออกมาในงานวรรณกรรม

ฉันเคยอ่านบันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร ของพี่ชายที่ฉันรัก กนกพงศ์ สงสมพันธุ์....เขานี่หนาที่เคยบอกว่า อยากเก็บเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในรูปของวรรณกรรม...ฉันเพิ่งรู้ ฉันเองก็คิดแบบนั้น เพียงแต่เริ่มเขียนช้าไปนิด แต่สั่งสมมานานจนเป็นวัตถุดิบที่เพียงพอในปริมาณหนึ่ง

ฉันขีดเขียนอะไปตามอำเภอใจจนมันเป็นรูปร่างเต็มที่เมื่อตอนไปเรียนภาคสนามที่ อยุธยา...ตอนนั้นเหงาระหว่างการเดินทาง คิดถึงคนบางคนที่เชียงใหม่เหลือทน บ้านเรือนไทยริมน้ำ เหมาะสมที่จะเริ่มต้นเขียน ฉันเขียนจนได้....เช้าวันรุ่งขึ้นถึงได้รู้ว่า เวลาเขียนออกไปแล้ว เราโล่ง โปร่ง สบาย...ฉันไม่เบื่อเลยเวลาเขียนรายงาน..ขอให้ได้เขียน และมีคนอ่าน .............อ่านความคิดฉัน

ฉันเขียนให้เธออ่านที่บ้านพี่วินทร์...นานหนึ่งปีแล้ว
ไวมาก...1 ปีเต็มกับงานมากมายของฉัน...ฉันเห็นตัวเองในนั้น เห็นเหตุการณ์ และเรื่องราวนานา ความทรงจำของฉันฉายขึ้นเหมือนภาพยนตร์ ทว่ามันชัดเจนเสียจนน่าตกใจ ราวกับว่า เพิ่งผ่านมาเมื่อสักครู่...ความละเอียดอ่อนของมิตรภาพ ทำฉันตื่นตัวเสมอ

ถ้าถามว่า เวลา 1 ปี ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง
หนึ่งในนั้นคืองานเขียน...เขียนออกมาโดยไม่ต้องรับรู้ว่าจะขายได้ไหม...จะดีเลิศไหม ฉันเขียนออกมาเพื่อรับใช้ความรู้สึกตัวเอง
ฉันมีความรักกับงานเขียนตัวเอง ฉันถึงเขียนออกมาบ่อยครั้ง อย่างไม่รู้เบื่อ

ฉันเพียงอยากเอ่ยคำว่า...ฉันรักแล้วฉันจะทำ...ฉันเอ่ยกับตัวเองแบบนี้ตลอดเวลา


แด่ 1 ปีที่มีความสุขกับการเขียน ที่ www.winbookclub.com

Tuesday, October 10, 2006

รักลวง

ความจริงบางอย่างร้ายแรงกว่าที่คิดเอาไว้เล่นๆ
พี่ชายสอนไว้อยู่เมื่อวาน อย่าวิตก

ไม่ได้แล้วมั้ง กับความจริงที่เพิ่งได้รู้
ฉันเคยทักทายกับสายลมตอนเช้า..ว่าความรักเรียกหา
ฉันไม่เคยตามไปอย่างคำคาริล แต่เมื่อวันนั้นฉันละเมอ

ฉันพยายามสยายปีกที่ไม่เคยมีเพื่อติดตาม
เจ้าความรักชั่วยาม เพียงเขม่าควัน
ฉันรักที่เป็นเขา...รักที่เขามอบรัก
รักที่เขาพยายามเข้ามาใกล้...ความรักของเรา

ไม่ทันตั้งตัวฉัน
หลงคิดว่าแพรบางที่คลุมแขน
จะสามารถสยายปีกสวยเพื่อลอยลมบนฟ้ากว้างนั้น

เพื่อไขว่คว้า ความรัก
รักที่ทักทายกันในค่ำก่อน
ฉันนอนแน่นิ่ง

หายใจรวยริน..เจ็บปวด

เมื่อได้รู้ว่ารักที่เฝ้าหลง


ไม่เคยมีอยู่เลย

Sunday, October 08, 2006

หลังม่านหน้าต่างบานนั้น


วันอาทิตย์ที่สองเดือนตุลาคม มาถึงแล้ว...มาถึงจนได้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รู้สึกแบบนี้อีกครั้ง นั่นคือ "รู้สึกใจหาย"

นานมาแล้วฉันสูญเสียความรัก อย่างกระทันหัน วันนั้นเป็นวันที่เขาบอกให้รู้ว่า "หมดแล้วนะ เวลาของเราสองคน มันจบแล้วนะ ผมไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วย อย่านอนดึก กินข้าวด้วย อย่ากินเผ็ด อย่าดื้อกับหมอ"...แค่นี้เอง กับความรัก ความรักครั้งเก่าที่มีเพียงความทรงจำสีซีด มีเพียงเส้นร่างดินสอ เหมือนการเพ้นท์สีน้ำจางๆ ผ่านเวลาสีนั้นกลืนหาย แผ่วเบา เหลือเพียงความรู้สึกเท่านั้น

ฉันซุกตัวเองในห้องนอน ทุกวัน ทุกคืน เป็นเวลานาน ..อ่านหนังสือบนเตียง ฟังเพลง และวาดรูป ในนั้น ในห้องนอนชั้นสองของบ้านที่ไม่มีใครขึ้นมารบกวน ฉันอุ่นใจตัวเองในนั้น ห้องนอนเล็กๆ ที่มีม่านสีเหลือง

ที่ระเบียงของชั้นสอง ฉันจะออกมารับลมเย็นๆบ้าง สำหรับวันอาทิตย์แรกของความคิดถึง วันที่ฉันไม่ได้ไปไหน มันเหงาแบบนี้นี่เอง

ฉันเริ่มเขียนในนามปากกา กีรติ

กับคำว่า "สวัสดี"

มีผู้คนมากมายเดินวนเวียนอยู่ในสังคม
มีผู้คนมากมายผ่านเข้ามาแล้วผ่านเลยไป
ต่างเริ่มต้นและสิ้นสุดตรงนี้
สวัสดีค่ะ

คำทักทายที่แสนเรียบง่าย
แต่เธอรู้ไหมว่าคำทักทายที่แสนเรียบง่ายนี้
เป็นตัวเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ
และจะจบลงในอนาคต

เพราะแม้มีการดำเนินอยู่
ก็ใช่ว่าจะหามีจุดสิ้นสุด
ไม่ฉันแสนจะเข้าใจทุกอย่าง
ฉันน่าจะเข้าใจอะไรได้ดี

แต่ฉันนี้เองที่กลับไม่ยอมรับสิ่งใด
กับทุกอย่างที่ควรเป็นไป
เพราะฉัน กลัวคำว่า
สวัสดีค่ะ

โดย : กีรติ [ 15/04/2005 , 00:35:13 ]

กีรติเกิดขึ้นหลังเรื่องเหงาๆ...นานทีเดียว
หลังจากนั้นฉันเขียนมันออกมาทุกอย่างด้วยหัวใจ ด้วยเรื่องจริง ด้วยความรู้สึก และมีเขาอยู่ในนั้นเสมอ...เสมอมา
แต่ก็มีหลายครั้ง ที่ฉันหยุดคิดถึงเขา...คนที่ฉันได้รับทั้งความสุขและน้ำตา...นิทานความรักของฉัน

ฉันอยากเรียกความรักครั้งเก่าว่านิทาน จะได้จบลงที่ว่า "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..."

ถึงจะเป็นเรื่องที่เคยเจ็บปวด แต่เชื่ออยู่ว่า มันไม่ร้ายแรงจนทำให้ทุกอย่างต้องดับบอดลงไป

และฉันก็เริ่มได้ยินเสียงแห่งความเงียบ...กับการได้อยู่เพียงลำพัง

มองออกไปนอกหน้าต่าง
มีเพียงความืดมิดที่ปกคลุมไปสุดสายตา
ไม่ว่าจะมองให้ใกล้ หรือไกลเพียงใด
มีเพียงเงาดำๆและเสียงแห่งความเงียบเท่านั้น

น่าแปลกที่คืนนี้ฉันหยุดคิดถึงเธอ
ในมุมที่ฉันเฝ้าหาตลอดมา
และฉันได้พบในมุมอีกมุมหนึ่งที่สำคัญกว่า
นั่นคือตัวตนของฉันที่ซุกซ่อนอยู่ในเงามืดนั้น

จะกล่าวลาเธออย่างไรดี
ให้นุ่มนวลและแผ่วเบาที่สุด เท่าที่จะทำได้
เธอ..คนที่แสนดีของฉัน ที่เคยร้องเพลงเพียงเพื่อบอกกับฉันว่า ไม่รักแต่คิดถึง

มองออกไปนอกหน้าต่าง
มีเพียงความืดมิดที่ปกคลุมไปสุดสายตา
ไม่ว่าช้า หรือว่าเร็ว ปลายทางของเราทั้งสอง
ก็ต้องมาสิ้นสุดที่คำว่า ...ลาก่อน อยู่ดี

--------------------------------------------หลังหน้าต่างบานนั้น ฉันเป็นฉัน กีรติ/ปลายฝน สักวันฉันคงเปิดม่านให้แสงตะวันและแสงจันทร์สัมผัสฉันอย่างที่ควรจะเป็น...แค่แอบมองแบบนี้ คงไม่พอแล้ว

Friday, October 06, 2006

ป่าช้านคร

•เสียงหวีดหวิวลิ่วลมคมบาดหู
ระริกกู่ก้องฟ้องร้องเรียกหา
อ้อมกอดอุ่นที่พลัดพรากจากกันมา
ติดตรึงตราเพียงหลับฝันวันล่วงเลย

• แม่เคยป้อนนมให้ร่างกายแกร่ง
กระชับแรงเติบโตโอ้อกเอ๋ย
ผ่านกี่ปี กี่คืนค่ำ ย้ำรำเพย
ที่พัดเผยความคิดถึงจึ่งติดตาม

• เพียงเพื่อถามแม่จ๋าสบายไหม
ผืนนาไร่เราร้างอ้างคำถาม
ที่เคยปลูกเคยพรวนดินถิ่นเงินงาม
ไม่ครั่นคร้ามหวามเกรงต่อเภทภัย

• ตากับยายตายแล้วแม่ไม่รู้
ที่ที่อยู่หลุดจำนองน้ำตาไหล
ผืนดินที่เคยชุบเลี้ยงเสบียงใจ
ไม่เหลือแล้วหรือไรให้ทำกิน

• มาเมืองใหญ่ผู้คนคล้ายไร้ชีวิต
ช่างเบือนบิดจากที่ฝันหมั่นถวิล
ว่าเมืองฟ้าเมืองธิดาพาใจบิน
หัวใจสิ้นโรยแรงแพลงหัวใจ

• สองเท้าเปล่าของลูกเริ่มสั่นทัก
เหนื่อยเหลือนักจักตามหาแม่ที่ไหน
เหลียวมองหาที่ว่างร้างป่าใจ
นี่แน่หรือเมืองใหญ่ชั่งใจตน

• หรือเราเองที่หาใช่อย่างเขาคิด
จึงเบือนจิตคิดกับเราเยี่ยงสัตว์ขน
โอแม่เอ๋ยลูกล้าเหนื่อยเอื่อยกมล
แม่หรือทนอยู่ในที่เช่นนี้มา

• หรือแม่จ๋าก็ตายแล้วหาได้อยู่
ในเมืองที่ไร้ผู้ก่นกังขา
ป่าช้านี้คือที่ฝังกลบมารดา
แม่จึงไม่คืนกลับนายังบ้านเรา

• สะอื้นสะอึกสุดท้ายกลับคืนถิ่น
ยังแผ่นดินแนวกว้างขุนป่าเขา
ตามประสาลูกกำพร้าไร้ถิ่นเนา
แม่,ยาย,ตาขอเก็บเอาไว้ในใจ

• สังคมเอยไม่คล้ายที่พึงประสงค์
เหยียดเบียดลงคงค่าแค่เราเขลา
เก็บรักเอยเก็บเอาไว้ในใจเรา
ป่าช้าเล่าคงกลืนฝังจนหมดเมือง

• จำจดก้าวสุดท้ายของปลายเท้า
ร้อยเรื่องราวร้าวน้ำตานองนิจเนื่อง
ดีกว่าทิ้งชีวิตปลิดปล่อยเปลือง
ทิ้งราวเรื่องไว้นั่นหนาป่าช้านคร.


Thursday, October 05, 2006

เงาของความเหงา - ร่องรอยของความสุข

เงาของความเหงา ซ่อนตัวอยู่ที่ใดหรือ

ในงานเขียน บทกวี และคำประพันธ์หลายหลาก หรือแม้แต่ในคำพูดของใครบางคน คำนี้เพียงคำเดียวที่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ร่าเริง ในขณะที่กำลังพบความสุข ซึ่งบดบังความทุกข์ที่อยู่ลึก.. ลึกจนก้นบึ้งหัวใจ

ความรู้สึกบางอย่างที่แทรกตัวอย่างเงียบเชียบ ค่อยแผ่ขยายพองตัวเมื่อยามที่เสียงหัวเราะ ค่อยๆจางหาย รอยคิ้วที่โค้งสนุก วางตัวคล้อยลงต่ำอย่างล้าเหนื่อย กี่นาทีกันกับเสียงหัวเราะ กี่ชั่วโมงกันกับความโดดเดี่ยว

เสียงดนตรีทำนองเก่า ดังมาไกลๆ เพลงที่ครั้งหนึ่งเคยประกอบบทประพันธ์ของสองพ่อลูก ช่วยกันนวดดิน และปั้น ปั้น ปั้น ความสนุก และเสียงหัวเราะ ในเวลานั้น สิ่งที่เด็กน้อยไม่มีวันเข้าใจ นั่นคือ เงาแห่งความเหงา

เด็กน้อยเหงา พ่อทดแทนด้วยรอยยิ้ม การใช้ชีวิตของคนที่ไม่อาจกำหนดรูปร่างครอบครัวได้ เป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด ทรมานทุกครั้งที่ต้องโบกมือลาจากกัน ทั้งที่ น่าจะอยู่คุย อยู่เล่นด้วยกันก่อน

"พ่อ..ไหนว่าจะสอนปั้นดินไง"

มันอาจเป็นเพียงฉากหนึ่งของละครหลังข่าว มันอาจเป็นเพียงบทละคร แต่สำหรับบางคน อาจเป็นผู้แต่ง ผู้ชม ผู้เล่น บทบางบทที่มีอยู่ ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริง ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประสบ เขาเคยได้รู้สึกถึงความเหงา ที่แทรกตัวเข้ามาแทนที่ความสุข รอยยิ้ม เสียงพูดคุยระหว่างกัน ระหว่างพ่อกับลูก

ความรู้สึกที่ไม่อาจเรียกว่า สุข ทุกข์ หรือความเหงา...จะเรียกอย่างไร จะจับแยกออกมาอย่างไร ในเมื่อมันคละเคล้าเสียจน ไม่อาจแยกขาดได้...ในความเหงาก็มีร่องรอยของความสุข

เวลาฝนตกลง ระหว่างที่ฝนเริ่มซา ความเหงาเข้ามาทักทายอีกครั้ง...หนักหน่วงกว่าเมื่อตอนฟ้าคำราม และลมพัดรุนแรง ...กับคนที่อยู่ลำพังด้วยแล้ว จะเรียกว่าทุกข์หรือสุขดีนะ ในเมื่อภาพความหลังเก่าๆ พี่น้องเล่นสร้างบ้าน ผ้าห่มผืนบางที่แย่งกันห่มนอนเพราะเย็นสบาย หมอนเรียง
เป็นผนังกั้น บ้านของเราสองพี่น้อง บ้านที่สร้างขึ้นในบ้านสวนเรือนไม้ พื้นกระดานเย็นเยียบ...เสียงหัวเราะกับบ้านที่เราสร้าง พี่นอนขดตัว น้องนอนเกยกัน มันทำให้ยิ้มได้นะ นี่ไงความสุขเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาจนได้




***กีรติเคยเขียนบทกวี "ดนตรีในความเงียบ" ไว้ให้

จังหวะของเพลงหนึ่ง
คล้ายคลึงกับลมหายใจเข้า-ออก-เข้า-ออก
ซึ่งซ่อนความอ่อนไหวและความลับของความรู้สึก

ในหัวใจเรา มีจังหวะการเต้นที่ต่างกับจังหวะของการหายใจนะ
มันต่างกันจนคล้าย และคล้ายกันจนต่าง
เมื่อรู้ว่าเหมือน เห็นจะเป็นนาทีที่ไม่หายใจ จนจังหวะการเต้นสงบลงเช่นกันเป็นเช่นเดียวกันในที่สุด_____________________________เขาเรียกว่าตายนี่นะ

บทเพลงคล้ายการหายใจ
จังหวะเคลื่อนไปเสมอจนจบเพลงนั้น
ระหว่างจังหวะในเสียงดนตรี คือการเต้น
ของใจตนมันอาจเดินช้า หรือเร็วกว่า

ดนตรีในความเงียบ...เธอเคยได้ยินไหม
เสียงของความเงียบ เธอเคยได้ยินหรือเปล่า
ไพเราะหรือแสนเศร้า แล้วใครกันนะที่บรรเลงเพลงนี้
ใช่ตัวเธอไหม หรือใครกัน

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างฟังเพลง..เพลงแห่งความเงียบ
มันอาจดังเสียยิ่งกว่าเพลงนั้น
ดังเสียจนทำให้โลกทั้งใบเงียบใบ้
เช่นกันกับหัวใจที่ล้าเหนื่อยของเธอ___________________________ โลกเงียบไปแล้ว

ลมเอย เสียงของเธอช่างไพเราะ
หูของฉัน...ใจของฉันบอกกับฉันว่า
ในโลกเงียบเชียบเช่นนี้
เธอคือดนตรีที่ไพเราะเหลือเกิน เจ้าลมหายใจ

2006-06-24 19:05:52/กีรติ

เงาของความเหงา - ร่องรอยของความสุข...ฉันไม่เคยแยกออกมาให้รู้สึกอย่างกระจ่างได้สักครั้งเลย

Wednesday, October 04, 2006

ข้าวต้มกับปลาทู


ข้าวต้มกับปลาทูเป็นอาหารของมื้อค่ำนี้...ข้าวต้มร้อนๆกับปลาทูทอดจนกรอบ มีน้ำปลาพริกทั้งหมดเป็นฝีมือของแม่
นี่มันกี่วันมาแล้วนะกว่าจะได้กินข้าวมื้อค่ำของบ้าน ข้าวสารในตุ่มฉันกินไปสักเท่าใดกัน

ในแต่ละวันฉันกินข้าวนอกบ้านมากกว่าฝีมือของแม่ทั้งที่โหยหาตอนเด็กๆ ฉันหลงลืมด้วยข้ออ้างเรื่องการงานและภาระโน่นนี่นั่น จิปาถะ ไม่นับยอดข้าวที่แอบดื่มตั้งแต่เรียน ปริญญาตรี จนมาเปิดตัวดื่มหน้าโต๊ะคอมให้แม่เห็นจะๆ "หมอเขาบอกอ่ะแม่ ว่ากินแล้วจะดีต่อโรคความดันโลหิตต่ำ" ข้ออ้างทั้งนั้น ชีวิตนี้

ฉันชอบกินข้าวต้มร้อน มากกว่าข้าวสวยร้อน แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กฉันมักขอให้เอาน้ำร้อนใส่ในข้าวสวย จะได้เหมือนกินข้าวต้ม มานึกๆเวลานี้ฉันชอบไหม ...ฉันไม่ได้ชอบอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนแต่ก่อน..แต่ยังชอบข้าวร้อนๆและกับข้าวง่ายๆอยู่

ตอนที่กระแช่เข้าปากใหม่ๆ ตอนนั้นเรียน ป ตรี ปีหนึ่ง วันนั้นมีแข่งบอล เพื่อนน้ำขุ่นๆส่งมาให้ลอง เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ลิ้นสัมผัสกับของเมาๆ ครั้งแรกดมกลิ่น มันเหมือนละมุดมาก รสแปลก ฉันกระดกไม่ยั้ง 555+ รุ่นพี่ตามหาถังกระแช่ เป็นฉันนี่เองที่ยึดไว้กับเพื่อนที่พุ่มไม้ ไม่อยู่เชียร์ใครทั้งนั้น รสชาติหวานคอในที่สุด ยอมรับว่าติดใจตั้งแต่แก้วแรก

แต่ผลสิไม่น่าติดใจ ฉันปวดหัวมากเมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น..ใจคิด เลิกๆๆไม่กินๆๆ สุดท้ายก็ทำไม่ได้

การงานและเรื่องบางเรื่องทำให้ไกลห่าง หวนกลับมากินข้าวบ้านและขนมอร่อยฝีมือแม่..ข้ออ้างอีก--ความจริงเก็บเงินซื้อของ มันคือกล้องตัวแรก แต่ที่รู้ๆ น้ำหนักตัวขึ้นจนแม่พอใจ แม่บอกว่าอย่าผอมมาก เดี่ยวลมพัดมาจะปลิวลม นี่ยังไม่รวมคำพูดเพื่อนเก่าๆนะ มาเจอกัน มันว่า เราติดยา...โอยเอาเข้าไป..

เวลาฝนตก ไม่รู้ทำไมนะที่บ้านต้องต้มข้าวต้ม และปลาทูทอด จะว่าไปบ้านเรากินปลาทูเป็นอาหารหลักก็ว่าได้ บ้านเราใกล้ตลาดสด ของกินดีๆใหม่ๆมาจากมหาชัย ฉันกินอาหารทะเลมากกว่าหมูและไก่ แต่ก็พอทำความเข้าใจได้ว่า อากาศหนาวๆอย่างนี้ กินข้าวต้มร้อนๆ มีควันอุ่นๆกับอาหารหลักของบ้าน คงสุขใจดีจริงๆ

มันเป็นจริงอย่างนั้น...ฉันรู้วิธีสร้างความสุขของแม่ด้วยมื้ออาหาร

เดี๋ยวนี้แม่ไม่ป้อนข้าวแล้ว จะอ้อนแม่ก็อายหลาน กินร่วมโต๊ก็ยังดีกว่าเอามากินหน้าคอม...แม่แกะปลาทูให้กิน เต็มจาน ฉันว่า ยังไงแม่ก็ยังเห็นฉันเป็นเด็ก อยากดูแล และเอาใจ...

คืนนี้อิ่มท้อง และสุขใจกว่าคืนก่อน ลืมรสหมูปิ้งยายใบ้ถนนพระอาทิตย์ไปได้เลย มันสุขต่างกันโข

ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมนะ แมวถึงชอบกินปลาทู...คงรู้สึกอิ่มท้อง ย่อยง่ายๆแบบนี้นี่นะ

กับความรักของแม่ ย่อยแล้วเป็นกำลังในหัวใจจริงๆ

Tuesday, October 03, 2006

เสบียงแห่งความรัก



ความรัก...ความรู้สึกที่มีเวลาเป็นตัวปรุงแต่ง ให้ผันเผียน ประสบกับความสุขเหลือล้น และความทุกข์นานา...และความรักนี่เองที่ทำให้นาฬิกา วิ่ง เดิน ได้อย่างมีความหมายมากขึ้น มีจุดหมายมากขึ้น แม้ว่า จุดหมายที่วางไว้ อาจไม่ใช่ทางที่คาดไว้ก็ตาม

ตอนเด็ก เวลาออกค่าย แม่จะห่อขนมไปให้กินในกระเป๋านอกเหนือไปจากของกินที่ทางโรงเรียนจัดให้ เพราะความที่เป็นคนขี้โรค ต้องมีขนมหวานกินเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มน้ำตาล และให้อิ่มท้อง ขนมที่ชอบมากจะเป็นขนมน้ำดอกไม้ สีสวยๆ จำได้ว่าเวลาไม่สบายจะกินอาหารไม่ค่อยได้...ขนมน้ำดอกไม้เป็นอาหารหลักในแต่ละมื้อ เพราะทำจากแป้งไม่หวานเกินไปนัก กินได้หลายชิ้น อยู่ท้องดีนัก แม่จะไปซื้อที่ตลาดวัดไทร ทุกเช้าเมื่อรู้ตัวว่าไม่สบาย ฉันจะกลายเป็นเด็กน้อยๆอีกครั้ง...เห็นความรักของแม่ชัดเจนขึ้น

จะว่าไป.เสบียงนี่สำคัญนะ และที่ฉันคิดว่าสิ่งที่มีในใจคือความรู้สึก ความรัก และไม่ควรขาดเสบียงเช่นกัน

ทุกสิ่งต้องมีอาหารหล่อเลี้ยง ทั้งร่างกาย และหัวใจ...แล้วสิ่งใดเล่าคืออาหารสำหรับความรู้สึก

กว่าเราจะรู้ตัวว่าสิ่งใดกันที่จำเป็น ขาดไม่ได้ นั่นจะเด่นชัดเมื่อยามขาดหาย ความรู้สึกที่ว่างโล่งไร้ที่ยึดเกาะ เมื่อนั้น ความรู้สึกที่เรียกว่าความหวัง จะถูดจุดด้วยประการไฟดวงเล็กๆ เพื่อให้หัวใจได้อบอุ่นขึ้นบ้าง

ตอนอยู่ที่เชียงใหม่ ฉันเหงามาก ฉันขับรถไม่เป็น ขี่จักรยานไม่ได้ ไม่รู้จักเส้นทาง และมีแต่ความขลาดกลัว บ้านเป็นสถานที่เดียวที่ฉันรู้สึกว่าเป็นทั้งที่คุมขัง และเป็นโลกทั้งใบของฉัน...ฉันโทรกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯบ่อยมาก เหมือนมันไม่พอ ขาดความมั่นใจ ไม่รู้สึกว่าพอ ที่จะคุยกับแม่ และเพื่อน..ฉันขาดเสบียง ฉันไม่ได้ตุนมาจากกรุงเทพฯ

ต้นไม้ที่บ้านพ่อ ออกลูกดกดีมาก พ่อมีบ่อปลาขนาดกลาง มีหมาพันธุ์บางแก้วจำนวนหนึ่ง ทั้งหลายเหล่านี้ ฉันคิดว่าจะช่วยให้คลายเหงา ทว่าฉันเหงา เพราะฉันลืมเอาบางอย่างมาจากกรุงเทพฯ มันคือความพร้อม..ฉันไม่พร้อมเลยในเวลานั้น ที่จะอยู่ยาวๆที่เชียงใหม่ ผืนดินด้านที่มองทางทิศเหนือเห็นภูเขา ทิศตะวันออกที่มีฟ้าครามสีแปลก ทางทิศใต้ที่มีทุ่งเลี้ยงวัว และทางตะวันตกที่มีหอกระจายเสียงของหมู่บ้าน...แต่ใจของฉันไม่พยายามทำความคุ้นเคยเอาเสียเลย

ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา หมอกจางๆยามเช้า อากาศที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ความสดชื่นที่แท้ความเขียวที่สดใส ฉันบันทึกสิ่งเหล่านั้นกลับมาเพื่อเป็นเสบียง คราวนี้ฉันจะไม่พลาดอีก มาถึงตรงนี้ ฉันเข้าใจขึ้นแล้วว่า เสบียงแห่งความรักนั้น คือการซึมซับ ในสิ่งต่างๆด้วยใจด้วยความรัก

หลายต่อหลายครั้งที่ฉันคิดถึงสิ่งอื่น จนลืมสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เมื่อครั้นจากไป ก็ได้แต่คิดถึง แท้ที่จริง เราสามารถกักตุนความรู้สึกที่สวยนั้นเป็นเสบียง เมื่อวันต้องจากไป แน่นอนว่า ภาพแห่งความทรงจำไม่เคยเลือนหาย

ฉันไม่ป่วยเมื่อยามอยู่ที่เชียงใหม่ ฉันพยายามสุขในสิ่งที่เป็น ในเมื่อฉันขับรถไม่ได้ ขี่จักรยานไม่เป็น และพ่อไม่เคยขังฉัน ฉันจึงเริ่มออกเก็บเสบียงรสแปลกบริเวณรอบๆหมู่บ้านด้วยสองเท้า...ความเป็นชนบทที่แท้ เกิดขึ้นต่อหน้า ท้องทุ่ง ฝูงวัว และภาษาเมืองที่ฟังแล้วน่ารักดี

เสบียงความรักเติมขึ้นทีละนิด ทุกวัน จนเต็มเปี่ยมเมื่อวันกลับ...ฉันคิดถึง จะไม่โหยหา ฉันมีเสบียง

ทุกวันฉันเติมเสบียงความรักจากคนรอบข้าง เผื่อวันหน้าหากจะต้องเดินทางไกล อาจห่างกัน ฉันจะไม่ขาดเสบียงอีก


เสบียงความรักอย่างไรเล่า คนดีของฉัน

Monday, October 02, 2006

ก่อนตะวันลับฟ้า

ก่อนตะวันลับฟ้า เธอมองเห็นอะไร? คำถามที่ดูไม่มีความหมายในสังคมใหญ่ ในเมื่อยามค่ำคืน เราต่างยังมองเห็น มีแสงไฟ ราวกับว่า เมืองแห่งนี้ไม่เคยได้หลับไหลเลยสักราตรี

ลมหายใจของมนุษย์เงินเดือนหลับใหลในบ้านที่ประกอบขึ้นต่างกัน เช้าขึ้นต่างแยกย้ายเข้าอาคารสำนักงาน เป็นเช่นนี้ จวบจนหมดสภาพที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เช่นนี้แล้ว สิ่งที่เราท่านเห็นกันทุกวัน ใช่สิ่งเดียวกันหรือไม่


ใครบางคนเอ่ยว่า แท้จริงคนเราต่างพยายามมองให้เห็นในสิ่งเดียวกัน หรือต่างกันแค่เพียงสองฝ่าย เหมือนคำถามฮอตฮิตในระยะที่การเมืองไทยร้องหาข้าง เพียงเพื่อสร้างความชัดเจนในการปะทะ เพียงเท่านั้น

เมื่อครั้งที่เรียนเพ้นท์ ครูท่านหนึ่งให้วาดรูปตามแนวความคิดตัวเอง เรียก อินดิวิดวลอาร์ท เพื่อนคนหนึ่งนำเสนองานในแนวโมโนโทน เพื่อนคนนั้นบอกว่าต้องการนำเสนอ สีในหัวใจคน คือ มี ขาว-ดำ แต่ในองค์ประกอบศิลป์ของเพื่อน เพื่อนยังปรากฏสีเทา

อาจารย์ร้องถาม ขาวคือความดี และดำคือความชั่ว แล้ว หากขาวเปื้อนสีดำ จะยังเป็นความดีอยู่ไหม

นั่นคือประเด็นของอาจารย์ แต่สิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในสมอง ณ เวลานี้ คือ ใครเล่า คือคนดี ใครเล่าคือคนเลว ตราบใดที่ยังมีส่วนผสมอยู่ ยังมีสีเทา

สังคมของเรา มีเพียงสีเทา ที่เชื่อเช่นนั้นเพียงเพราะว่า สังคมของเราไม่สามารถบริสุทธิ์ เช่นแต่ก่อน แต่ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการการค้า มั่นใจเถิดว่า ใครต่อใคร ต่างเป็นสีเทาต่อกัน เราอาจเป็นคนดีของใครบางคน และอาจเป็นคนเลวสำหรับใครอื่น มันสำคัญไหม นี่คือคำถามที่น่าขบคิดว่า สังคมต้องการคนดี และต้องดีเพียงไร หากในหัวใจของเขา มีเชื่อโรคแห่งความละโมบ ตะกอนดำกวนจนน้ำใสขุ่นขึ้น เขาจะยังเป็นคนดีอยู่หรือ

สังคมไม่สามารถเป็นได้ตามปรารถนา ไม่มีวัน...แท้จริงแล้ว จุดยืนที่แท้คือความแปรเปลี่ยน เช่นกันกับคำว่า ปรารถนา ความต่างกันที่แสนพยายามหาจุดตรงกลาง เพื่อช่วยกันสร้างสังคมที่น่าอยู่ มีต้นไม้ไหวพริ้ว และเสียงหัวเราะ เห้นทีจะมีใตตัวหนังสือ ของนักเขียนช่างฝัน

เราต่างลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับสังคมสีเทา เราแหวกว่ายในถังสีของเมืองขนาดใหญ่ โลกของเราไม่ใช่สีฟ้าอย่างที่ใครเชื่อ โลกเราเป็นสีเทา...ที่กวนสีไม่เข้ากันดีนัก วันนี้เราอาจว่ายไปพบกับผลึกก้อนสีดำ วันนั้นเราอาจลงเอานิยามสังคมว่าเหลวแหลก น่าอัปยศ แต่ถ้าอดทนทนอยู่ไป อาจได้พบสีขาว ที่อาจทำให้เราอภัยกับสิ่งโสมมที่ผ่านมาทั้งหมด

สิ่งนั้นคือความรัก ความรักทำให้โลกเป็นสีขาว ไม่ใช่สีชมพู แล้วจะมองเห็นกันไหมว่า ความรักนี่เองที่ทำให้สังคมน่าอยู่
ความรักอยู่ในสายลม ลมหายใจของคนเราเพียงแต่ หัวใจของคนนี้ต่างกัน ความรักจึงต่างกัน ไม่อยากลงเอยเลยว่า ความรักก็จะกลายเป็นสีเทา เมื่อความละโมบปรารถนาในรัก มีเกินกว่าความหมายดีๆที่แบ่งกันมีความสุข

ก่อนตะวันลับฟ้า หรือก่อนเราปิดม่านดวงตา เรามองเห็นอะไร...มองเห็นความรักในโลกใบเทา ในสังคมที่พึงปรารถนา หรือมองเห็นเพียงมายาของตัวละคร...เราคงต้องใช้ใจช่วยกันดูแล้ว

Sunday, October 01, 2006

อีกนาทีก็สายเสียแล้ว

"พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว"

ฉันเป็นคนผลัดวันประกันพรุ่งมาตั้งแต่เด็ก การบ้านจะถูกทำในช่วงเวลาที่ควรนอน ทำให้ดูเหมือนมีการบ้านเยอะ แต่ความจริงแล้ว ฉันเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า น่าเสียดายที่การนอนดึกของฉันในวันนั้น เป็นคนละประเด็นในวันนี้ วันนี้ฉันนอนดึกเพราะเขียนหนังสือ

ที่เสียดายเพราะ..ฉันอยากเหลวไหลอีกครั้ง เวลานั้น มีความสุขลึกๆนะ ที่ได้ปั่นงานหลังจากดูการ์ตูน ละคร และวาดรูปเล่นแต่ด้วยสมองที่แก่ตัวลง บอกว่า พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว ฉันกลับไปทำคล้ายๆแบบนั้นยากแล้ว

ตอนที่เรียนปริญญาตรี..ฉันเผางานทุกคืน เพื่อให้ทันส่งอาจารย์ในรุ่งเช้า เชื่อไหมว่าฉันทำงานต่อรายวิชาประมาณสองถึงสามชิ้น เพื่อเอามาเลือก หลายครั้งที่ฉันเลือกงานที่ทำเสร็จชิ้นแรกๆ แต่ก็มีที่งานชิ้นสุดท้ายสวยกว่า แต่นั่นแหละ การเผางานไม่ได้หมายถึงคนที่ทำต้องเหลวไหลนะ ฉันพยายามเรียนให้ได้รู้เรื่องมากที่สุด

จำได้ว่า มีคืนหนึ่ง อาจารย์สั่งให้เพ้นสีน้ำมัน เราลักไก่ด้วยการเพ้นอาคิลิกด้วย ผลออกมา เราควบคุมเนื้อสีไม่ได้ คิดๆไม่น่าเลยจริงๆ แทนที่จะเสร็จเร็ว ดันหงุดหงิดเข้าให้ เราไม่เก่งเรื่องเทคนิค จึงตัดสินใจ วาดใหม่ ไม่ใช้ลินสีด...สีไม่แห้ง ต้องเอาพลาสิกปะหน้า

ตอนเอามาเปิดส่งอาจารย์ โอยลำบาก ระวังเพื่อนๆแสนซนมาชนมาก จะบอกว่า เฮ้ย สี ยังไม่แห้งโว้ย...

มาเรียนปริญญาโท สันดานเดิมๆยังไม่หาย แต่ดีที่เรียนน้อยกว่ามาก ฉันเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ ไม่ต้องวาดรูป ขอแค่อ่านหนังสือ ฉันอ่านหนังสือมากกว่าแต่ก่อน แสนเท่า แต่ก่อนนิยมดูรูปมากกว่า...เหนื่อยสายตา และปวดหัวมาก

อาจารย์พูดกรอกหูทุกวัน..คุณต้องอ่านหนังสือมากๆ สำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้หนังสืออย่างฉัน การมาเริ่มต้นที่นี่ มันหนักหนาเอาเรื่องอยู่...เหนื่อยมาก จะขี้เกียจก็ไม่ได้ ทำรายงานไม่สามารถเผาก่อนส่ง มีแต่ต้องทำให้สมบูรณ์เท่านั้น

ฉันใช้เวลาหาข้อมูลทำรายงาน และเขียนมันในคืนก่อนส่ง สามวัน เห็นไหม เรานิสัยดีขึ้น ทำเสร็จก่อนส่ง แต่ไม่วายต้องมีแก้ไขจุกจิก อยู่ดี

วันนี้ วันที่ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว ฉันอ่านหนังสือของนักเขียนวรรณกรรมเยอะ(มันก็ยังน้อยหรอก)กว่าแต่ก่อน อ่านแล้วคิด คิดแล้วเขียน ไม่อยากให้ความฝันที่เปลี่ยนตอนเรียน ปโท ต้องพังลง

อีกนาทีก็สายเสียแล้ว

อย่ารอถึงวันพรุ่งนี้เลย ทำงานดีกว่า

ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งไกลห่าง

เรามีทฤษฎีสอนตัวเองว่า ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งไกลห่าง

ครั้งหนึ่ง เรามีความรักกับคนที่ รู้จักกันอย่างผิวเผิน...เขาน่ารัก และสนใจฉันมาก
เราคุยแลกเปลี่ยนทัศนติหลายอย่าง ...มันนานเท่าไหร่นะ ฉันลืมไปว่ามันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ

วันแรกที่รู้จักกัน ฉันนึกว่าเขาเป็นผู้หญิง ชื่อของเขาคล้ายผู้หญิงมาก แต่เมื่อได้รู้จักกัน ถึงได้รู้ว่า เขาเป็นหนุ่มน้อย ที่อายุห่างจากฉัน 2 ปี เขาไม่ได้เรียกฉันว่าพี่ เขาให้ความสนิทสนมกับฉัน อย่างเพื่อน ...ทุกคืนเราจะได้พบกันผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยม ทุกคืน จนฉันกลัว...กลัวจะกลายเป็นคนที่กลัวแสงอาทิตย์ เวลาของเรามีจำกัด มันน้อยมาก ที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ในโลกเสมือน ฉันขอให้เขาโทรศัพท์ปลุกฉันทุก 6 โมงเช้า ซึ่งเขาจะตื่นเวลานั้น

เขาแปลกใจที่คนทำงานและเรียนไปด้วยอย่างฉัน มีเวลานอนน้อยมาก...ในเวลานั้น แดดยามเช้าดูอบอุ่นกว่าทุกวัน ฉันตื่นขึ้นมาเพื่อรอโทรศัพท์ของเขา ฉันตื่นก่อนเขาจะโทรมา ใจยังหวังว่า เขาจะไม่ลืม ใช่แล้ว เขาไม่เคยลืม เขาทำตามคำขอเสมอ

และเขาก็ทำตามที่หัวใจของเขาขอเช่นกัน ในคืนที่เราไม่ทันรู้ตัว เขาขอให้เราเลิกติดต่อกับเขา เลิกคุย เลิกพูด เลิกโทรหา และบอกอีกว่า ตื่นเอาเองบ้าง เบื่อจะปลุกแล้ว...คำมันแรงกว่าที่ฉันทบทวนมาก มันคือฝันร้ายที่ฉันไม่เต็มใจฝัน ฉันรู้ว่าทุกอย่างจะเรียกว่าสมมติขึ้นก็ได้ เช่นกันกับเวลาที่เธอมาอ่านสิ่งที่เขียนนี้ มันไม่ใช่ความจริงในโลกที่เราแบ่งกันหายใจ เข้า-ออก

ฉันน่ารำคาญหรอกหรือ...คืนก่อนหน้านั้น เราคุยกันถึงเช้า มันเป็นลางบอกเหตุ เขาพูดขึ้นว่า

"ฉันอาจเป็นเงาของแก เป็นอดีตของแก ถ้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าไม่มีฉัน แกจะทำไงวะ"

ฉันไม่รู้หรอกในเวลานั้น แต่เวลานี้ฉันนรู้แล้ว "ฉันคิดถึง"

ทฤษฎีเก่าๆของเรา ยังปรากฎรูปจริงเสมอ

คนเรายิ่งเข้าใกล้บางอย่าง ยิ่งไกลห่างจริงๆ...เช่นวันนี้

เพียงเพราะคำว่า ที่ว่าง พื้นที่ของกันไม่ได้ถูกแบ่งเผื่อไว้ในวันหน้า จึงมีเพียงควันจางของมิตรภาพ บทเพลงที่เขาชอบ เรื่องเล่า และเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม นิ้วมือและขนมปังที่เคยกินอวด ในคืนหนึ่งที่เขาเริ่มหิวระหว่างคุย

ความคิดถึง ทำให้เรานอนดึกแบบนี้อีกแล้ว หวังว่าเช้าขึ้นมาเราจะไม่ได้รอการโทรมาปลุกของใคร...เราหวังว่า จะไม่รอ