1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Monday, November 27, 2006

ในนาคร


ช้าง...ช้าง...ช้าง...ช้าง...ช้าง
น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า
ช้างมันตัวโตไม่เบา
จมูกยาวๆเรียกว่า งวง
มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่า งา
มีหูมีตา หางยาว

เพลงที่ร้องได้ตั้งแต่สมัยอนุบาล จะมีใครกันที่ร้องเพลงนี้ไม่ได้ หรือไม่เคยได้ยินเพลงนี้ (เป็นเพลงน่าจะฮิตเชียว เพราะนอกจากจะเป็นเพลงที่ร้องในห้องเรียนประกอบจังหวะของคุณครูแล้ว ยังมีพวกร้องแหย่เพื่อนที่มีสันฐานคล้ายช้างเข้าให้ด้วย)

เพลงจังหวะสนุก ชวนให้คิดช้างในเมือง ส่ายหัวไป-มา มันคงจะดีใจ ที่คนแต่งเพลงแนะนำตัวให้แบบนี้ หรือ เปล่าเลย มันอาจไม่เคยรู้ว่าคนคิดเช่นไรกับมัน

การแสดงออกของคนที่มีต่อช้าง ในเวลานี้เป็นเช่นไรแล้ว มิอาจทราบแน่ชัด แต่สำหรับในกรุงเทพฯ การแสดงออกต่อช้างเป็นไปเพื่อการทำมาหากินเลี้ยงปากท้องคนเท่านั้น มิใช่ช้าง

หลายจังหวะชีวิตที่ต้องได้พบกับช้างตัวเล็กตัวน้อย เดินข้างถนนพระรามที่ 2 มันอดทนมาก ท้องกิ่วกว่าที่ควรจะเป็น กล้วย และแตงโมบนหลังมันไม่มีสิทธิ์ได้กินก่อนที่จะมีกิจกรรมงานทานมัยของคนเมืองใจพระกับควานช้างใจหยาบ เมื่อนั้น สำไส้ช้างจึงได้ทำงาน

ช้างร้องไห้เป็นไหม

ถ้านัยตาของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีประกายที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำ ช้างย่อมมีน้ำตา มันต้องเคยร้องไห้

คนร้องไห้เพราะสาเหตุขุ่นมัวในใจ น้อยครั้งที่น้ำตาจะออกมาจากความยินดี ช้างยินดีอย่างนั้นหรือที่ได้เข้ามาสัมผัสแสงสีในเมืองหลวงเช่นนี้

ในเมืองหลวงที่ปลอดภัยและอบอุ่น ช้างพังและพลายคู่หนึ่งถือกำเนิดขึ้น ในบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด มีอาหารให้กินจนอ้วนพี มันทั้งคู่ ไม่ต้องทำงานหนัก หรือเดินทนจนกว่าจะมีกิจกรรมทานมัยอย่างช้างตัวอื่น ทว่ามันคือดารา

ทุกวันมันจะต้องเผยชีวิตส่วนตัวให้คนเดินเข้ามาชี้ ถ่ายรูป และเดินจากไป คนแล้วคนเล่า เป็นอย่างนี้จนกว่าจะมีใครตายไปข้างหนึ่ง

แม้แต่ในเวลาที่มันทั้งสองมีความรัก คนก็ได้รับรู้เห็น เรื่องของช้าง

สัตว์ในสวนย่อมไม่มีสิทธิ์เรียกร้องพื้นที่รโหฐาน ทุกอย่างต้องเปิดเผย ในสวนสัตว์ที่เสียเงินเข้าชมได้ทั้งวัน อยากให้ช้างยิ้มต้องทำอย่างไร..นั่นสิต้องทำเช่นไร

1.ปาก้อนหินใส่
2.ร้องเสียงช้างสาวกระตุ้นช้างหนุ่ม
คนทำสิ่งไหนง่ายกว่า

จึงไม่แปลกใจที่จะพบป้ายที่ว่า "ห้ามปาสิ่งของใส่สัตว์"...มันต้องเคยมีคนทำเช่นนั้นแน่ๆ

เมื่อช้างพัง และพลายคู่นี้ผสมพันธุ์และอาจติดลูก เมื่อนั้น เราจะได้ลูกช้างที่เป็นดาราตั้งแต่เกิดตัวใหม่ของสวนสัตว์อีกตัว

หวังว่ามันจะง่ายอย่างที่คิด

ช้าง...ช้าง...ช้าง...ช้าง...ช้าง
น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า
ช้างมันตัวโตไม่เบา
จมูกยาวๆเรียกว่า งวง
มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่า งา
มีหูมีตา หางยาว


สิ้นเสียงเพลงช้าง เรารู้จักมันดีแค่ไหน
สวนสัตว์เพียงพอแล้วหรือที่จะทำความรู้จักกับสัตว์ที่เคียงข้างคนมายาวนานที่สุด ...

Saturday, November 25, 2006

สะกิดสุข







ไม่รู้เหมือนกันว่า ความสุขที่ได้รับเมื่อวันก่อน จะยังส่งผลให้วันนี้มีรอยยิ้มอยู่บ้างไหม อะไรกันหนาคือสาเหตุของความสุขที่ถาวร สิ่งนั้นคืออะไร

เมื่อหลายปีก่อน ใบหน้าของผมเครียดจนเพื่อนๆต่างยินดีที่จะพาผมไปเที่ยวไหนต่อไหน ทั้งที่ผมมีสภาพบ้างาน พวกเพื่อนๆต้องการช่วยเหลือผม ให้ผมได้ผ่อนคลายบ้าง ผมยังแปลกใจไม่หายว่า ทำไมเพื่อนต้องทำดีกับผมขนาดนั้น ปล่อยผมไว้ให้อยู่เพียงลำพังอย่างที่ผมต้องการ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด การที่ผมต้องอยู่กับเพื่อนๆที่มีแต่เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และเรื่องสนุกๆ ทำให้ผม อดหัวเราะบ้างไม่ได้ ผมเริ่มยิ้ม และรับฟังประสบการณ์ขำๆจากพวกเขา

ผมจำเรื่องขำไม่ได้สักเรื่อง

รู้แต่ว่า เวลานั้น ผมหัวเราะ

เพื่อนคนที่ทำให้ผมหัวเราะมากที่สุด เสียชีวิตจาดอุบัติเหตุ เขาจากไปเมื่อหลายเดือนก่อน เงาสะท้อนจากตัวผมบอกว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถพูดคุยกับเงาของตัวองได้มาจากเพื่อนของผมคนนี้ คนที่ผมจะไม่สามารถถามเรื่องที่ผมสงสัย แล้วเขาตอบออกมาเป็นเรื่องตลกที่เข้าใจง่ายได้อีก

ผมจำชื่อเขาได้

และจำรอยยิ้มเขาได้

“กูมีอะไรอยากบอกมึงไว้อย่าง ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ มึงจะเครียดอะไรกับชีวิตนักหนา ดูอย่างกูนี่ พ่อกูก็ไม่เคยเห็นหน้า แม่กูก็ปากจัด มีเรื่องกับคนเขาไปทั่ว น้องกูก็แรด มึงดูสิ เรื่องมันน่าเครียดกว่า การที่มึงทำรายงานยากๆฉิบหายของมึงไม่เสร็จไหม ยิ้มซะบ้าง เพื่อน..รอยยิ้มมันต้องสร้างเอง ต่อไปมึงจะได้มีความฉลาดทางอารมณ์ ฮาฮา ..แบบกูไง”

ผมยังจำได้อีกว่า เพื่อนของผมคนนี้สามารถจัดการเรื่องสารพัดภายในบ้าน ในขณะที่ผมเป็นเพียงผู้เฝ้ามองปัญหาเมื่อเกิดขึ้นมา ผมคิดว่าความขลาดกลัวของผม น่าจะได้สักครึ่งของเกียรตินิยมที่ผมสั่งสมมา ได้ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์บ้าง จนเวลาที่มีปัญหา ที่ไม่ใช่การตีรูปประโยคสัญลักษณ์ การแทนค่า ในตำราเรียน ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ผมกับแก้มันไม่ได้

ผมลืมไปหมดแล้ว

ผมไปงานศพเพื่อนของผม บรรยากาศเงียบเหงา ในกลุ่มเพื่อนของเรา ต่างเงียบซึม การจากไปอย่างกะทันหัน ทำให้ใครๆยังไม่อาจตั้งตัวรับมันได้...

ใครจะสอนผมเล่นไพ่ ผมยังเล่นไม่เก่งเลย
ใครจะสอนผมเล่นกีต้าร์ ผมยังเล่นเสียงบอดอยู่เลย

“ที่กูสอน มึงก็หัดจำไว้บ้าง กูไม่ได้ว่างสอนมึงทุกครั้งนะโว้ย ไอ้ห่าทีเรื่องเรียนงี้เสือกจำแม่น เออ..ซ้อมๆเล่นไปเหอะ เดี๋ยวก็ได้เอง มันสำคัญที่การฝึกโว้ย ไม่ใช่คนสอน กูสอนเท่าที่รู้ นอกนั้นอยู่ที่มึง สายกีต้าร์มึงก็อย่ากดแบบกะเทยหัดแมนได้ไหม เสียงมันจะได้ไม่บอดแบบนี้ อุตส่าห์จำคอร์ดได้เสือกเล่นเสียงบอด”

ผมทบทวนเรื่องราวต่างๆ เพื่อนของผมตายไปพร้อมกับรอยยิ้ม เขาเต็มที่กับทุกอย่าง โดยมาตรฐานของความเป็นคนธรรมดา ผมต่างหากที่กำหนดรูปแบบชีวิตให้มีความซับซ้อน มากเกินกว่าจะเข้าใจ ผมกำหนดมันขึ้นมาเองทั้งสิ้น

จนนาทีที่ร่างเพื่อนของผมเข้าสู่พิธีฌาปน มันอาจเป็นจุดสิ้นสุดของการมีชีวิต แต่มันคือจุดเริ่มสำหรับผม

ความทรงจำคือความสุขอย่างหนึ่ง ผมไม่เกี่ยงอีกแล้วว่า ความทรงจำของผม จะอยู่ในข้างดีหรือร้าย สิ่งที่ผมจำเป็นต้องทำ คือ จัดการกับสิ่งที่ผมเป็น ให้อยู่ในภาวะที่เป็นสุข เป็นสุขเท่าที่จะทำได้ เชื่ออย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริง ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจที่สุด ไม่ใช่ปริญญาจากสาขาต่างๆ ทว่า คือมันคือ การสามารถไขปัญหาที่เกิดขึ้น และควบคุมมันได้ต่างหาก

ความสุขที่ได้รับเมื่อวันก่อน จะยังส่งผลให้วันนี้มีรอยยิ้ม และสาเหตุของความสุข มันอยู่ที่ใจของเราเท่านั้นเอง



Tuesday, November 14, 2006

บางสิ่งที่มากับลมหนาว




เสียงนาฬิกาไขลานบอกเวลา

...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...

เสียงเหง่งหง่างจำนวนสิบครั้ง นี่คือเวลาสี่ทุ่ม เวลานี้เป็นเวลาที่ลมพัดกลิ่นหอมแปลกๆมาทางหน้าต่าง ผ้าม่านไหวพริ้มไปตามจังหวะ จนสังเกตทิศทางซ้ำๆได้อย่างหลับตาเห็น ราวกับว่า ลมที่พัดเข้ามานั้นมีจังหวะเดิมๆไม่เคยเปลี่ยนเลยสักครั้ง

ฉันเจ็บระบมบริเวณจมูก มันเป็นอาการของไซนัสอักเสบ ฉันชินกับอาการแบบนี้มานานกว่าปีแล้ว เมื่อมีอากาศเย็น และความชื้น นั่นจะทำให้ไม่สบายแบบนี้อยู่ออกบ่อย คนรอบข้างต่างรู้ดีถึงความอ่อนแอของร่างกาย และสุขภาพที่สะสมโรคขึ้นตามอายุ มีเพียงเขาที่ไม่เคยรู้ เขาจำใบหน้าสุดท้ายของฉันเมื่อปีไหนกัน...มันยาวนานจนจำได้เพียงแค่ว่า มันผ่านมานานมากเกินจะจำได้แล้ว

กลิ่นของดอกไม้ผสมกับกลิ่นสีจากโรงงานซ่อมรถ ผสมกันจนไม่ได้เรื่อง แต่ฉันก็หวังจะดอมดมกลิ่นจางๆของดอกไม้ที่หอมเพียงฤดูหนาวนี้เท่านั้น ...เนิ่นนานกว่าที่ต้นพญาสัตตบรรณจะส่งสัญญาณหอมเย็นๆไม่ว่าจะต้องเจือด้วยกลิ่นอื่นใดก็ตาม ก็ยินดีที่จะต้อนรับเอามาเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจ

ฤดูที่ทำให้การก้าวย่างเท้าของฉันช้าลงเห็นจะเป็นที่ฤดูหนาว รายทางต่างๆมักทำให้ฉุกคิดถึงเรื่องที่เคยผ่าน ใครกันที่จะไม่เคยคิดถึงอดีต ทั้งที่ทำร้ายจิตใจ และส่งเสริมให้หัวใจได้มีรอยยิ้ม ฉันลืมยากมาก...และเต็มใจที่จะจดจำ

เมื่อปลายปี พ.ศ.2532 เป็นปีที่อากาศหนาวแสนเศร้า..ครอบครัวเราไม่มีเตาผิง

ความหนาวกัดกินครอบครัวจนทุกคนต่างเข้าใจได้ดีถึงความหนาวที่เรียกว่า หนาวเข้ากระดูก จะมีอะไรกันเล่าที่จะทำให้หายหนาว ความอบอุ่นจากที่ใดหรือ ในเมื่อเราไม่มีสิ่งนั้น ฉันสร้างความอบอุ่นในโลกเล็กๆ มีหนังสือคณิตศาสตร์ที่ไม่ค่อยชอบเรียน แต่ดีที่มีความหนา เอามาเป็นบ้านของตุ๊กตากระดาษ

ตุ๊กตากระดาษแผ่นละ 2 บาท ถ้าอยากได้รูปที่สวยกว่าก็จะมีราคา 3 บาท( นี่ขนาดของเล่นเด็กประถม ยังมีชนชั้นเลย) ตุ๊กตากระดาษจะมีชุดให้เปลี่ยน มีหมวกให้สวม ฉันแกะออกจากแผ่นกระดาษ ติดทับร่างบอบบางของตุ๊กตาผมทอง วันนี้เธอจะไปงานเลี้ยง

กระโปรงสุ่มลายลูกไม้ ช่างชวนฝันถึงเจ้าหญิงเหลือเกิน ฉันเก็บตุ๊กตากระดาษในหนังสือคณิตศาสตร์ จนบวมปริ ในนั้นมีครอบครัว มีพ่ อ แ ม่ ลูก เพื่อนบ้าน และญาติพี่น้อง จำได้ว่าตั้งชื่อด้วยการเขียนด้วยดินสอกำกับเอาไว้ ชื่อก็มาจากคนที่รักทั้งสิ้น

เวลาที่ใจสงบนิ่ง อย่างน้อยก็ร้อนรนน้อยลงนั้น ทำให้ได้พบบางสิ่งที่เรียกว่าตะกอน ...ตะกอนความคิด เป็นสิ่งที่ช่วยให้ได้ทบทวนและไตร่ตรองเรื่องว้าวุ่นนานา และฉันมักทำได้ในฤดูหนาว

บางสิ่งที่มากับลมหนาว นั่นคือความคิดถึง
คิดถึงตุ๊กตากระดาษ ครอบครัวที่ถูกอัดแน่นในหนังสือคณิตศาสตร์เล่มนั้น
ป่านนี้ความหนาวจะสามารถทดสอบความอบอุ่นที่มีได้อย่างไรไหม

สำหรับฉัน ในยามนี้ ลมหนาวไม่สามารถทำให้ฉันโหยหาความอบอุ่น เพราะฉันค้นพบมันแล้ว


เสียงนาฬิกาไขลานบอกเวลา
...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*... *...
เสียงนาฬิกาเพิ่มจำนวนครั้งที่ตีเป็นสิบเอ็ดครั้ง

ความหนาวเร่งเร้าความคิดถึงอย่างอบอุ่น มาชดเชยให้แล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะจำฉันได้เพียงตอนเป็นเด็กน้อยเท่านั้นฉันก็สุขใจ


Monday, November 13, 2006

ความรักของฟ้า


ถนนสายที่มีกลิ่นหอม...อาจมีบางสายที่เราคุ้น กับกลิ่นความหลังของค่ำคืนก่อน
บางครั้งย้อนสะเทือนให้หัวใจต้องหยุดคิด...เวลาช่างผ่านไปไวเสียยิ่งกว่า
ยิ่งกว่านาทีที่นกน้อยกระพือปีกสู่ฟ้าไกล

เจ้านกตัวเล็ก
ประมาณค่ากำลังของตน ฟ้ากว้าง ช่างสูงเกินคะเน

แรงปีกบางสะท้านลมแรงกรีดเรียวปีกช้ำ
พอทานทนเพียงความสูงเหนือต้นไม้ใหญ่...เท่านี้หรือกำลังของตน

นกน้อยยังหวัง ฟ้าที่สูงจะทำให้หัวใจตนเปลี่ยนความคิดอย่างไรไหม

เมื่อครั้งยังเยาว์
มีคำสอนให้รู้จักคุณค่าของความรัก...ฟ้ากว้างไกลสักเท่าไรก็ยังปรารถนา
ให้บินลิ้มความสุขและลมเย็นเพียงพอเท่าที่จะทำ
หาใช่เกินกำลังแรงปรารถนา

เช่นนั้น นกน้อยจึงค่อยลดระดับฟ้า สู่กิ่งไม้ที่เพียงพอ
พอเพียงต่อการสนทนากับปุยเมฆ

ลมเย็น กลายเป็นดนตรีขับกล่อมให้วันคืนของนกน้อยนั้น ได้เข้าใจถึงความรัก
ความรักบนฟ้าไกล..ยังได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาว่า

คิดถึงเสมอ แม้เราไม่ใกล้กัน


แต่เราไม่เคยห่างกันเลย

เช่นกันกับถนนสายเดิม ที่พาเราแยกจากกันในตอนสุดท้าย สองมือเคยกุมเกาะ บัดนี้มีเพียงความรู้สึก

ฉันเชื่อแล้วว่า แม้เราห่างกันสักเท่าไหร่ แต่เราไม่เคยไกลกันเลยสักนาที



Saturday, November 11, 2006

แม่ครัวคนเก่ง



นับจากนาทีที่ฉันหลับตา ฉันยังไม่แน่ใจนักว่า สิ่งที่ได้รู้สึกขึ้นมานั้น เป็นความฝัน หรือความจริง

ในวันที่ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองตัวเล็กลง...เล็กลง เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง โลกมีอะไรอีกมากที่ฉันไม่สามารถเข้าใจได้หมดครบถ้วน และบางอย่าง ก็เข้าใจในแบบเพ้อฝัน มันเป็นเรื่องของจินตนาการที่แน่นอนว่า มันอาจห่างไกลจากความเป็นจริง

เคยไหมที่เล่นคนเดียว

อยู่คนเดียวแต่มีความสุข ในหัวมีจินตนาการที่สดใส ฉันเคย...ฉันคิดฉันเป็นแม่ครัว

ของเล่นพลาสิกรูปข้าวของเครื่องใช้ในครัวถูกวางเรียงกันที่ร่องสวนมะม่วง ร่มเงาทำให้บรรยากาศยามสาย ไม่ร้อนและมีลมที่พัดมาจากท้องร่อง เห็นระลอกริ้วน้ำเป็นขีดสาย มันสวย และน่ามอง

เก็บใบกระถิน ใบหญ้า และดอกไม้บางดอก มาปลิด หั่นเป็นสมมุติอาหาร อาหารกำลังลงหม้อ ฉันตักขาย จำได้ ฉันคิดว่า ทำอาหารขาย เดี๋ยวจะมีคนมาซื้อ ไม่นานฉันแปลงร่างเป็นคนซื้อ ...อาหารน่าตาน่ากิน ฉันเลือก หยิบ และจ่ายเงินใบไม้ อาหารวางซ้อนกันในพลาสติกรูปปิ่นโต...ฉันหยิบหิ้วย้ายไปอีกที่

วันนี้ขายของหมด นับเงินใบไม้...จะเอาไปซื้อขนมให้แ ม่

ที่บ้านสวน...จำได้ว่าน้ำท่วมบ่อย ของเล่นพลาสติกลอยตามน้ำไปแล้ว นั่นจานข้าว ปิ่นโต ช้อน ถ้วย และเงินใบไม้...ลอยไปไกล ออกสู่ลำคลอง..ฉันได้แต่มอง ของเล่นของฉัน

------------------------------------------------------------------------------------------------

ฉันทำขนมไปให้เพื่อนกิน ขนมขาไก่ ที่ฉันตวงแป้ง ใส่ส่วนผสม นวด หมัก ปั้น และอบ ชิม.....ทำเองหมด แต่ครั้งนี้ไม่ได้ทำขาย แต่ทำให้เพื่อนกิน เพื่อนร้อง ขนมขาไก่ แข็งน้องๆหิน ฉันว่า มันออกจะกรอบกรุบน่าเคี้ยว ฉันหลอกตัวเอง

ไม่มีแม่ค้าขายขนม ไม่มีลูกค้า ไม่มีเงิน......................ไม่มีแม่ครัวคนเก่ง

มีแต่ความจริง-------และความฝัน

จินตนาการที่ลบไม่ได้

บางครั้งอยู่กับสิ่งที่คิดขึ้นเอง ก็สุขใจดี เพียงแต่ต้องเข้าใจเท่านั้นว่า มันไม่ใช่ความจริง

Thursday, November 09, 2006

ผู้สูงอายุในเวลาอันควร




บนถนนสายเก่า ถนนที่ต่อผ่านถนนพระรามที่สอง นั่นคือถนนตากสิน ที่จะนำไปสู่ถนนอีกหลายสาย และเป้าหมายปลายทางนั่นคือถนนพระอาทิตย์

เป็นเวลากว่า 8 ปี ที่สัญจรด้วนถนนสายเดิมๆนี้ สองข้างทางมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป บางช่วงที่เคยร้าง บัดนี้กลายเป็นห้างสรรพสินค้า มีลานจอดรถที่ใหญ่กว่าโรงเรียน และวัด มีร้านทำผมที่เปิดกิจการราวดอกเห็ดหลังฝนตก ที่น่าสังเกต คือ อาคารพาณิชย์บางช่วงบิดร้างไปบ้างเช่นกัน

เวลาเป็นสิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ

ใช่เวลา...หรือว่าหัวใจคน

ย่านโกวบ๊อเป็นย่านที่มีชาวจีนมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ป้ายรถเมล์นี้จะมีอาแปะ อาซิ่มโบกรถ เก่ๆกังๆ หอบร่างอ่อนโรยราไปยังจุดหมาย

ที่ใดกัน...โรงเจ...บ้านลูก...สวนสาธารณะ...ตลาด...หรือโรงน้ำชา

ในยามที่แสงแดดเตือนให้รู้ว่า"สายแล้ว" ทำให้อดร้อนรนไม่ได้ เมื่อเวลารถติด...อยากถึงที่หมายโดยไว แต่นั่นแหละนา การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน กติกาเป็นสิ่งบ่งบอกขอบเขตของตัวตนของเรา ว่าจะสามารถทะยานไปได้ไกลสักเท่าใด ในมิติเดียวกัน..ทำได้เพียงนั่งรอในรถประจำทางสายเดิม ที่บางวันจะพาใครคนนั้นขึ้นมายืนใกล้ๆ.ทำให้ลุ้นทุกครั้งเมื่อผ่านป้ายเดิมที่เขาเคยขึ้นมา

ป้ายโกวบ๊อ...อาซิ่มแก่ๆกับสัมภาระมากมาย ความแก่ทำให้งุ่นง่าน และทำอะไรด้วยสปีดที่ช้ากว่าใครเขาเพื่อน...โชคดี อาซิ่มได้นั่ง รอบม้านั่งมีถุง กระเป๋าอีกสองใบ อาซิ่มจะไปไหนกัน

"เวลาเท่าไหร่คะ...เก้าโมงครึ่งหรือยัง" กระเป๋ารถเมล์ถาม
"ยังค่ะ"ฉันตอบ

กระเป๋ารถเมล์หันไปพูดกับอาซิ่ม"ยังไม่เก้าโมงครึ่ง"
"ตอนนี้กี่โมงคะ"กระเป๋ารถเมล์ถามฉันซ้ำอีก
"เก้าโมงยี่สิบค่ะ"ฉันเริ่มสงสัย เกิดอะไรขึ้น ระหว่าง ฉัน..ผู้มีนาฬิกา อาซิ่ม..ผู้พกความชรามาด้วย และกระเป๋ารถเมล์ผู้ประพฤติตามกติกาทุกประการ

เวลา..เงิน..ความชรา มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ป้ายวงเวียนเล็กก่อนขึ้นสะพานพุทธฯ เป็นปลายทางของอาซิ่มคนนั้น ขาขึ้นที่ว่าลำบากแล้ว ขาลงนี่อาซิ่มลำบากหนักกว่าเก่า รถเมล์เหมือนรู้ใจคนนั่งรอว่ากลัวไปสาย พยายามออกตัวทั้งที่แกยังขนของ...กระเป๋าใบโตปริเผยให้เห็นของบางอย่าง ถุงพลาสติกสีสันสดใสจำนวนมากถูกอัดอยู่ในนั้น อาซิ่มคงมาขายของ

คนเริ่มบางตา เพราะผ่านป้ายสำคัญมาหลายป้าย คนเริ่มทยอยไปทำภาระกิจของตน..ได้เวลาเหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง เก้าโมงครึ่ง แล้ว

ทำไมนะ เวลานี้มันทำไมกัน

ความสงสัยกระจ่างชัดในนาทีที่ถึงจุดหมาย

บริเวณประตูรถประจำทาง มีเอกสารชี้แจงการลดหย่อนค่าโดยสารของผู้สูงอายุ

9.30-15.30 น.

ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้สูงอายุได้ แม้เพียง 10 นาทีก่อนถึงเวลาก็อนุโลมไม่ได้ เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติรักษาอย่างเคร่งครัด


นั่นคือ ผลประโยชน์ของตนเอง


จนบางครั้ง ความแล้งน้ำใจจะกลายเป็นคุณธรรมที่น่าปฏิบัติมากกว่าความเมตตา

กับผู้สูงอายุในเวลาอันควร (ช่วงเวลาที่การจารจรไม่คับคั่ง คือเวลานี้เอง 6 ชั่วโมง สำหรับคนแก่)

Tuesday, November 07, 2006

บัตรศักดิ์สิทธิ์



บัตรนักศึกษา เป็นบัตรที่นักเรียน นักศึกษาต่างมีไว้ประจำตัว เช่นเดียวกับบัตรประชาชน แต่สำหรับบัตรนี้ เป็นบัตรประชานักเรียน

สำหรับเด็กนักเรียนเล็กๆ ป้ายเรียกชื่อด้วยชื่อเล่นๆก็พอน่ารักดี และมีคำว่า น้องนำหน้า พอขึ้นชั้นประถม ป้ายเรียกชื่อก็หายไป มีเพียงชื่อที่ปักไว้ที่หน้าอกเสื้อ มีคำว่า ด.ช.---เด็กชาย และ ด.ญ.---เด็กหญิง นำหน้าชื่อจริง คราวนี้ชื่อเล่นจะถูกเรียกเฉพาะบุคคลเท่านั้น

บัตรนักศึกษาจะใช้กับเด็กนักเรียนที่โตแล้วในระดับมัธยม โรงเรียนบางมดวิทยาเริ่มใช้บัตรนักเรียนมานานแล้ว ในปีที่เข้าเรียนนั้น บัตรเป็นกระดาษสีขาว ติดรูปที่ถ่ายโดยอาจารย์ท่านหนึ่งใต้ตึกพลานามัย บอกชื่อ นามสกุล รหัสนักเรียน และวันหมดอายุของบัตร ซึ่งป็นวันเดียวกับวันเกิด
30 มีนาคม ของทุกปี บัตรนักเรียนหมดอายุของปีการศึกษานั้น แต่เรากลับมีอายุเพิ่มมากขึ้น เป็นวันฉลองวันเกิดที่น่ารักที่ทางโรงเรียนมอบให้อย่างไม่ตั้งใจ

เมื่อปี พ.ศ. 2539 โรงเรียนมีนโยบายรูดบัตรเพื่อขานชื่อ ต่อไปนี้จะไม่มีการเชคชื่อคนมาโรงเรียนตามห้องอีก ใช้รูดบัตรเอาเท่านั้น ในเวลานั้น ใครที่คิดต่างออกไปจะเรียกว่าเด็กมีปัญหา

ห้องเรียน ม4/2 ห้องอาจารย์อุดมลักษณ์ มีปัญหามากที่สุด มีคนไม่มาเรียนอย่างน่าอัศจรรย์ หนึ่งในนั้น มีรองหัวหน้าห้องที่ขึ้นชื่อว่าเรียบร้อยที่สุดรวมอยู่ด้วย การประชุมเครียดเกิดขึ้นในโรงยิม อาจารย์อุดมลักษณ์ไต่ถามถึงเรื่องทั้งหมด ถึงสาเหตุที่ไม่ยอมรูดบัตรกัน จับใจความได้ว่า เด็กนักเรียนต่างไม่เห็นด้วย กับการรูดบัตร เพียงเพื่อแสดงตัวว่ามาโรงเรียนแล้ว ทั้งที่อาจารย์ฝ่ายปกครองเองก็เห็นหน้าว่ามาเรียนหนังสือ แต่กลับยอมขีดว่าขาดเรียนในสมุดบันทึก เป็นไปได้อย่างไรที่สมองของคนจะยอมรับการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ มากกว่าสายตา และหัวใจตัวเอง

เย็นนั้น ผลการประชุมเป็นคำขาดว่า ให้ทุกคนรูดบัตร อย่ามีข้อแม้ว่าอยากเป็นตัวของตัวเอง อย่าขัดขืนด้วยสาเหตุเช่นนี้ อาจารย์ท่านนี้กล่าวต่อว่า

"ถ้าเรื่องเท่านี้ยังอดทนไม่ได้ ....ฉันรู้พวกแกอึดอัดกับความบ้าบอของฝ่ายปกครอง แต่ วันข้างหน้า มันยังมีกฏอะไรอีกมากที่พวกแกต้องเจอ จะอดทนกันได้หรือ ฉันขอถามพวกแกเท่านี้"

เพียงเท่านี้

จะเรียกว่าสำนึก หรือความกลัว หรืออะไรก็ตาม นักเรียนห้อง ม.4/2ไม่เคยขาดเรียนแบบยังลอยหน้าเดินเพ่นพ่านในโรงเรียนอีก ทุกวันเกิดเครื่องรูดบัตรจะมีเสียงอวยพรวันเกิดของนักเรียนคนนั้นๆ สำหรับคนที่เกิดในวันบัตรหมดอายุ และตรงกับวันปิดภาคเรียนก็อดได้ยินไป

บัตรนักศึกษาในมหาวิทยาลัย มีความสามารถเป็นได้มากกว่าการแสดงตัวตนในมหาวิทยาลัย ใช้เป็นบัตรรูดเงินฝาก และยังเป็นบัตรส่วนลดราคาหนังสือในร้านหนังสือของมหาวิทยาลัยเฉพาะเล่มที่ร่วมรายการ ไม่มีการรูดบัตรทุกครั้งที่เดินเข้ามหาวิทยาลัย ไม่มีการประกาศชื่อนักศึกษาขาดเรียน ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับฝ่ายปกครอง ทุกคนเป็นไท ในกรอบเล็กๆที่ตั้งกันเอง ยอมรับกันเอง เป็นสังคมใหญ่ที่มีความเงียบเหงาคอยควบคุม ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย บัตรนักศึกษาที่ไม่ต้องรูดพร่ำเพรื่อ ไม่มีเสียงเพลงอวยพรวันเกิด ไม่มีวันหมดอายุที่ 30 มีนาคมของทุกปี ความพอใจของการหมดอายุของบัตร อยู่ที่ความสามารถของนักศึกษาว่าจะเรียนในมหาวิทยาลัยกี่ปีในเกณฑ์ที่ตั้งไว้

บัตรนักศึกษาของผู้ที่ต้องการศึกษา

คงไม่ต่างสักเท่าใดนักกับบัตรพนักงาน

บัตรพนักงานเป็นยิ่งกว่าการเชคชื่อเข้าโรงเรียน..คือยังเป็นกุญแจเปิดประตูเข้าไปในบริษัทอีกด้วย ทั้งที่คุณยามก็รู้ว่าทำงานอยู่ที่นี่ หากไม่มีบัตรรูดก็จะแจ้งต่อฝ่ายบุคคลเพื่อดำเนินการปรับฐานลืมนำบัตรมารูดต่อไป

บัตรพนักงานไม่มีวันหมดอายุบอกล่วงหน้า อาจหมดอายุแบบสายฟ้าแลบ หรือหมดอายุโดยตัวเราเป็นผู้กำหนด ขึ้นอยู่กับบริบท และปัจจัยต่างๆ กำหนดทันทีแบบเฉียบพลันไม่ได้ เพราะบางครั้ง สายฟ้าที่แลบนั้นก็เป็นสายฟ้าที่ผู้อื่นกำหนด

ทุกครั้งที่ถึงวันเกิด ของรองหัวหน้าห้อง ม. 4/2 จะมีเสียงเพลงอวยพรวันเกิดที่ร้องขึ้นในใจ ทุกครั้งที่รูดบัตร บางคำของครูท่านั้นยังเตือนเสมอ

"ถ้าเรื่องเท่านี้ยังอดทนไม่ได้ ....ฉันรู้พวกแกอึดอัดกับความบ้าบอของฝ่ายปกครอง แต่ วันข้างหน้า มันยังมีกฏอะไรอีกมากที่พวกแกต้องเจอ จะอดทนกันได้หรือ ฉันขอถามพวกแกเท่านี้"


ทั้งที่ไม่อยากห้อยบัตรพนักงาน ก็ต้องอดทน เพราะนี่คือกฏที่ออกขึ้นโดยผู้ว่าจ้าง ตราบใดที่ยังอยากทำงาน และมีเงินเดือน




จงห้อยบัตรศักดิ์สิทธิ์นั้น


Sunday, November 05, 2006

หนาวละอองเทียน

ตะวันจวนอับแสง..แต่วันนี้ท้องฟ้าที่ว่ากล้างเท่าสายตามองนั้น จะเป็นเสมือนเวทีโล่งให้จันทร์ลอยเด่นสมเป็นเดือนเพ็ญ

คืน 15 ค่ำเดือน 12 เป็นคืนที่ใครต่างเฝ้ารอ เพราะเป็นคืนที่สายน้ำจะวับแวมไปด้วยแสงไฟดวงเล็ก ลอยเรื่อยจนกว่าลมพัดดับหาย ไปทีละดวง ชุมชนย่านวัดสังเวชวิศยาราม ถนนสามเสน บางลำพูนั้น มีเด็กอายุไม่เกิน 13 ปีจำนวนไม่น้อย ที่ชื่นชอบเทศกาลต่างๆที่ชุมชนจัดขึ้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน เทศกาลลอยกระทงที่ 1 ปี จะจัดเพียงสักครั้ง ทว่าครั้งนี้ พิเศษกว่าที่แล้วมา

เมื่อเดือนก่อนถึงวันสำคัญนี้ แม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งน้ำเหนือ ฝนตก และน้ำทะเลหนุน น้ำท่วมเข้าบ้าน รอยยิ้มของเด็กๆเริ่มขึ้น เพราะในเวลานั้น พวกเขายังไม่เปิดเทอม บ่อยครั้งที่มานั่งพักสายตาจากการทำงานในเวลาเที่ยง จะพบพวกเขาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

สระว่ายน้ำในฝัน

บริเวณลานออกกำลังกายของสวนสันติชัยปราการ มีระดับน้ำที่เข้ามาถึงครึ่งน่องขาผู้ใหญ่ เด็กทั้งชายหญิง เล่นน้ำสีขุ่นอย่างสนุกสนาน กระโดดไป-มา บ้างตีลังกาจนน้ำแตกกระเซ็น..ทำให้คนที่พบเห็นแถวนั้น อมยิ้ม จะอะไรเสียอีกเล่า ก็ในเวลานั้น ตะวันมันตรงหัว น้ำเย็นกับอากาศร้อน เด็กสนุกได้อย่างไร ไม่ช้ามีเสียงเอ็ดลั่นของผู้ปกครองที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นแ ม่ของเด็กคนไหนสักคนในจำนวนนั้น ไล่ให้ขึ้นมาเพราะเกรงว่าจะไม่สบายเสียก่อนเปิดเทอม

ชุมชนที่เข้าใกล้วัฒนธรรมการกินอยู่แบบเมือง มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่างออกไป การประกอบประเพณี พิธีกรรมอะไรต่างๆนานา ล้วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว การแสดง และเงินตรา

วันนี้ 15 ค่ำเดือน 12..สองริมฝั่งแ ม่น้ำเจ้าพระยา มีเสียงหัวเราะด้วยความสำราญของคนเมืองที่ห่างไกลแ ม่น้ำ และใคร่ที่จะรื่นเริงกับประเพณีที่เชื่อว่าสืบทอดมาอย่างยาวนาน ในเสียงหัวเราะนั้น เสียงสะอื้นคละกลั้วตามมาด้วย

ใครจะเข้าใจถึงความทุกข์ได้ดีเท่าผู้เคยประสบ น้ำท่วมเป็นสิ่งบั่นทอนนานาสรรพกิจของชีวิตเช่นกันในวันนี้

ละอองเทียน และควันจางของธูปบูชาพระแ ม่คงคา ลอยล่องตามสายธารแห่งศรัทธา ทุกคนลอยความทุกข์โศกเพื่อมีความหวังและกำลังใจในการใช้ชีวิต คนบางคนเชื่อเช่นนั้น บางคนอธิษฐานให้ตนเองได้พบกับความสุขบ้าง ในภายภาคหน้า เพียงประนมมือขอพรแม่น้ำสายใหญ่

แต่ไม่ใช่กับครอบครัวริมแม่น้ำบางครอบครัว

เจ้าพระยาเอ่อล้นสมเป็นคืนเพ็ญ..คืนที่ระดับน้ำสูงขีดสุด คืนนี้ที่หลายบ้านตาตื่นเพื่อเฝ้ามองแสงไสวของเทียนจากกระทงบูชา
*

*

*

*
ในคืนที่แสงจันทร์ทำหน้าที่สมบูรณ์ ประเพณีลอยกระทงสมบูรณ์ เด็กๆระแวกชุมชนวัดสังเวชทำหน้าที่บริการนำกระทงออกไปลอยให้เพราะน้ำท่วมเกินกว่าจะง่ายสะดวกลงทุนเปียกชุ่มเอง เพื่อ แลกกับค่าขนมที่เจือรอยยิ้ม เด็กอาจสนุก...และเต็มใจ

ยังมีอีกหลายบ้านที่เปรียบเสมือนผู้ใฝ่มองเวทีบนพื้นล่าง จบม่านการแสดงลง หวังว่ากระทงใบสุดท้ายจะไม่ลอยพัดเข้ามายังบ้านเรือนที่จมน้ำอยู่

และละอองเทียนจะไม่กลายร่างจากผู้นำทางเป็นเพลิงเผาบ้านผู้อาภัพให้วอดดับจมลงอีกครา

ค่ำคืนที่แสนหนาวจากละอองเทียน จะมีสักกี่คนที่ได้สัมผัส

หากไม่เคยได้ลิ้มรสชาตินั้นเลยทั้งชีวิต

Saturday, November 04, 2006

ความเหงากับจานปลาทู

กลิ่นหอม...หอมของปลาทู...
ฉันจำได้ปลาทู------------หอม..หอม..อืมมมมม
ปลาทูย่าง อาหารค่ำของเรามื้อนั้นเธอแบ่งปันฉัน

ในจานสังกะสีปลาทูตัวเล็ก
เธอว่าเราก็แบ่งกันได้...แบ่งปันกัน
ปลาทูเหลือเพียงก้าง และหัวปลาอมยิ้ม

เราอิ่มท้อง..เธอ-ฉัน อิ่มท้องที่มีความรักและปลาทู

จานว่างเปล่า
ท้องว่างเปล่า
ใจว่างเปล่า

นานแล้วที่เธอไม่อยู่
ยังคงมองจานใบเก่า
ที่เคยมีปลาทูย่าง
หอม...หอม...ที่เราแบ่งกันกิน

ฉันสะดุ้งตื่น
เหลือบมองดูจานพลาสติกใบใหม่
กับอาหารเม็ด ที่มีกลิ่นปลาทู

ใจยังโหยหาแมวในความฝันตัวนั้น
ฉันตะล่อมเลียอาหารเม็ดรูปแปลกและกลิ่นปลาทูปลอม...ปลอม

ในจานพลาสติก

ฉันเหงาแต่ฉันต้องกิน

ด้วยความหิวเพื่อคืนนี้จะขอหลับตาฝันถึงเธอ..และปลาทูหอม--หอม

ในจานสังกะสีใบเดิม