1554 Better late than never.

บนทางฝัน แน่นอนว่าอุปสรรคจะต้องเวียนเข้ามาทักทาย เม่นน้อยในอ้อมแขนพร้อมสลัดขนแหลมทำร้าย ... ถ้าเลือกจะทำแล้ว อดทนเท่านั้น

Wednesday, December 20, 2006

แดดลวง

วันอาทิตย์สุดท้ายก่อนวันปีใหม่ ครอบครัวของนางสมัยดูจะเคร่งเครียดกว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เสียงเอ็ดตะโรดังลั่นมาจากปลายซอย ไม่ช้านักข้าวของอย่างหม้อ ครก และเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ ก็ระเกะระกะอยู่นอกบ้าน

บ้านไม้สองชั้นที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ บัดนี้ไม่เหลือเค้าของความอบอุ่นอื่นใดอีก นอกจากความร้อนระอุ ที่คู่ผัวเมียสุมใส่กันไม่หยุดหย่อน

เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงนวลตอง ไม่ช่วยให้สถานการณ์นั้นดีขึ้น“จะร้องทำไม หะ อีนวล” ชายคนหนึ่งกระแทกเสียงพร้อมกับกระหน่ำตีที่หลังและขา เด็กหญิงนั่งร้องไห้ไม่ลุกหนี ในมือยังกอดตุ๊กตาหมีขนปุยสีน้ำตาลผูกโบว์ลายทางสีแดงแนบอก

“อย่ามาลงกับลูกสิพี่” นางสมัยกระชากแขนชายผู้เป็นสามี ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ร่างของนางสมัยก็พับเพียบกองอยู่กับพื้นรองรับแรงโกรธของสามีด้วยการกระหน่ำตีไม่แพ้กัน

สองแม่ลูกโผเข้ากอดกัน เนื้อตัวสั่น สงครามครั้งนี้ ตุ๊กตาหมีจบชีวิตลง นุ่นกองกระจายออกรวมกับกองขยะที่ชายผู้เป็นพ่อสะบัดกำลังโถมทำลาย

เขาจากไปแล้ว

“แม่ หนูกลัว” นวลตองสะอื้นไม่หยุด สำหรับเด็กอายุ 7 ขวบ นี่ไม่ใช่ฝันร้ายของเธอ ภาพต่างๆจะถูกบันทึกในส่วนหนึ่งของจิตใจ

นางสมัยปลอบโยน ลูบผิวตามเนื้อตัว แขนขา นางเปิดเสื้อยืดของลูกสาว เห็นรอยฝ่ามือและจ้ำหยิกสีแดงมีเลือดซิบ น้ำตาของแม่พรั่งพรู เธอไม่น่าเลือกเขาเป็นพ่อใหม่ให้นวลตองเลย

“อย่าร้องนะลูกนะ เพี้ยงหายนะลูก” นางสมัยลูบเรือนผมบางๆของลูกสาว ย้ำคำให้ลูกใจชื้น บรรจงเป่าที่รอยแผล ไอร้อนๆจากปากของนางสมัย สร้างความอบอุ่นให้นวลตองมากขึ้น

นวลตองหลับไปในเย็นนั้น ในมือยังคงกอดซากตุ๊กตาหมี นางสมัยเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายไปทั่ว พี่ชายที่เพิ่งกลับบ้านเข้ามาถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ผัวเอ็งเอาอีกแล้วรึ มันเมาทีไรเป็นอย่างนี้ทุกทีซิน่า ตอนดีๆข้าก็เห็นมันเงียบๆ ไม่มีอะไร แล้วนังตองเป็นไงบ้าง มันร้องไห้โฮเลยสิ” นายสำเริงยืนเท้าเอวหน้าบ้าน ในมือยังถือมีดดายหญ้า เครื่องมือที่ไปรับจ้างมาตั้งแต่เช้ามืด

นางสมัยไม่เอ่ยตอบอะไร เรื่องมันล่วงเลยไปไกลเกินกว่าจะแก้ไขได้โดยง่าย หนทางที่จะอยู่รอดคืออดทน อดทนเพื่อลูกสาวคนเดียว

“แม่จ๋า ทำไมพ่อถึงเกลียดหนู” สายตาของนวลตองไม่ได้บ่งบอกว่าอยากรู้มากนัก เพียงแต่สับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่พ่อเมาอยู่บ้านในวันอาทิตย์ จะต้องหาเรื่องโวยวสยอยู่เสมอ

อีกไม่กี่วันจะถึงวันปีใหม่แล้ว นวลตองเขียนคำขอของขวัญไว้ในสมุดเล็กๆที่ทางโรงเรียนให้ทำ“ขอให้พ่อเลิกตีหนู”

นางสมัยได้แต่ร้องไห้เมื่อลูกสาวตั้งคำถามเช่นนี้ นางไม่กล้าเอ่ยความจริงว่า นวลตองเป็นลูกที่เกิดจากการถูกข่มขืนจากชายแปลกหน้าที่เข้ามารุมทำร้ายเธอ พ่อที่แท้ของนวลตองคือใคร นางสมัยไม่กล้าคาดนึก

ในวันปีใหม่ ไม่มีเงาของสามีนางสมัย นางแน่ใจแล้วว่า คงถูกตัดขาด เพราะรู้ข่าวมาว่า เขาไปติดพันแม่ค้าขายดอกไม้แถวปากคลองตลาด ลึกๆนางดีใจที่รอดพ้นจากความรักที่ลวงหลอกมาเป็นเวลานาน กับข้อพิสูจนในคำที่แสนเจ็บปวด

“พี่จะรับเป็นพ่อให้ลูกในท้องเอง”

นางสมัยมักจะนั่งเหม่อที่บันไดบ้าน หลังจากปอกสายบัวเป็นเส้นสายขาวอวบรอท่าหั่นแล้วล้างมัดใส่ถุง นวลตองเป็นเรี่ยวแรงสำคัญนับจากนั้น นอกจากกำลังใจแล้ว นางสมัยยังต้องการกำลังกาย เธอเพลียอ่อนเรื่อยมาด้วยอาการปวดหัวเข่าที่เริ่มกำเริบอีกครั้งหลังจากเมื่อ 7 ปีก่อนที่เธอถูกฟาดที่ขาอย่างหนักในคืนที่ต่ำทรามที่สุดของชีวิตลูกผู้หญิง

“แม่จ๋า นี่ไงตุ๊กตาของหนู” นวลตองนั่งมัดหัวตุ๊กตาหมีที่ขาดวิ่นด้วยหนังยาง กลายเป็นหัวหมีที่มีปุ่มปมมากมาย นางสมัยอดขำไม่ได้ที่มองเห็นความพยายามของลูก

“มานี่ลูกมา ไปหยิบกล่องเข็ม เดี๋ยวแม่จะเย็บให้ใหม่” นางสมัยหยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมาดู ตุ๊กตาที่ชายคนรักเคยซื้อให้นวลตองเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่ช้า นวลตองหยิบกล่องเข็มมาให้ พร้อมกับนั่งมองตาแป๋วด้วยใจจดจ่อ เพราะนี่คือตุ๊กตาเพียงตัวเดียวที่นวลตองมี เธอกอดมันไว้ทุกคืน เป็นของเล่นเพียงชิ้นเดียวที่นวลตองมีอยู่

ด้ายสีขาวไม่เข้ากับขนปุยสีนำตาล นวลตองยินดีไม่เกี่ยงงอนที่ด้ายคนละสีทำให้ตุ๊กตาของเธอดูแปลกตาไป เพียงให้หัว ตัว แขนและขาติดกันให้คล้ายสภาพเดิมที่สุดเป็นพอ

วันเสาร์สิ้นปี
“อ้าวนังหมัย วันนี้มาส่งเองรึ ผัวไปไหนล่ะ” ยายดมทักปากแดง น้ำหมากไหลย้อยด้วยแกไม่มีฟันเหมือนสาวๆ
“ไม่รู้จ๊ะป้า ไปหาพ่อหาแม่มั้ง” นางสมัยชั่งสายบัวบนกิโลให้ยายดมมอง
“เออ...ผัวไปไหนทั้งคนไม่รู้ ระวังเถอะ ลูกมันจะจำหน้าพ่อมันไม่ได้” ยายดมถุยน้ำหมากลงบนพื้น สะเก็ดน้ำหมากกระเด็นมาถูกเท้าของนวลตองเห็นเป็นหยดสีแดงคล้ายเลือด
“10 กิโลนะจ๊ะป้า ขอบใจจ๊ะ” นางสมัยตัดบทแล้วจูงมือนวลตองออกจากตลาด ตรงลิ่วไปยังร้านขายโจ๊กที่ท่าน้ำ
“กินผักด้วยสิลูก ขิงนี่กินแล้วไล่พยาธินะ” สองแม่ลูกกินโจ๊กชามเดียวกัน วันนี้เธอสั่งพิเศษ ใส่ไข่ลงไปด้วย
“พ่อ”นวลตองเรียกพ่อเสียงลั่น ในปากยังมีโจ๊กอยู่เต็ม นางสมัยหันหน้าไปทางที่ลูกมอง เธอเห็นชายคนนั้น กำลังเรียงดอกกล้วยไม้ที่กำรวมกับใบเตยในกระป๋องพลาสติก ที่ร้านติดป้ายไว้ “วันนี้วันพระ”

นายชิตหันหน้ามาหา แล้วเดินมายังร้านขายโจ๊ก “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หมัย มาส่งสายบัวรึ” นายชิตขมวดคิ้วเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆจากคู่สนทนา
“วันสองวันจะไปเก็บของ ...เราอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ให้หลังปีใหม่ไปก่อน เก็บของให้ด้วยแล้วกัน เอาที่จำเป็น อันไหนไม่เอาก็เผาไฟไป ไม่อยากหอบกลับมามาก เลือกๆให้แล้วกัน” นายชิตหันหลังไม่มีเยื่อใย นวลตองมองตามเห็นพ่อกำลังพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านขายดอกไม้

“แม่ พ่อเขาไม่อยากอยู่กับเราแล้วหรือ” เด็กหญิงเอ่ยถามเบาๆ เพียงเท่านั้นก็เพียงพอให้น้ำตาของนางสมัยไหลหยดเป็นสายนางสมัยนึกถึงเรื่องราวครั้งเก่า กับความหวังมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่เธอถูกทำร้าย ชายคนรักไม่รังเกียจที่จะมอบอนาคตใหม่ให้กับเธอ และลูกในท้องที่เกิดจากความเลวร้ายของจิตใจคน

“ถึงอย่างไรพี่ก็รัก สมัย..นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย ลูกในท้องพี่จะรับเป็นพ่อเองไม่ต้องกังวลไปนะ ทำใจให้สบาย เราจะมีครอบครัวด้วยกัน” นายชิตขอนางสมัยอยู่กินเมื่อรู้ข่าวว่าเธอตั้งท้องได้เดือนเศษ

ตะวันที่ขึ้นมาในตอนเช้าเคยเป็นความหวังให้กับเธอ และกล้าไม้นานาในร่องสวน นางสมัยมักอมยิ้มเมื่อเห็นชายคนรักดายหญ้าในสวน มีเธอทำกับข้าวรออยู่ที่บ้าน ท้องแก่ของเธอทำให้เธออุ้ยอ้าย เธอก็เต็มใจปรนนิบัติ เพื่อตอบแทนความรัก และความหวังที่ผู้ชายคนหนึ่งมองให้อย่างหมดใจ

ไม่เพียงทำให้ต้นไม้เติบใหญ่ ความร้อนกล้าของแสงแดด ดูเหมือนจะกร่อนทำลาย ช่วงชีวิตของเธอ ไม่นาน อุดมการณ์ก็แพ้ความรู้สึกที่แท้

นายชิตไม่ใช่ผู้ชายคนก่อน เขาเหมือนคนแปลกหน้าที่นางสมัยตั้งคำถามทุกครั้ง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นับจากวันที่นวลตองเกิดขึ้นมา นายชิตไม่เคยแสดงความรักดังเช่นเคย

เธออยากให้แดดเมื่อปีก่อนเป็นเพียงหลอดไฟเก่าๆ ไม่สว่าง ไม่ชัดเจน เพื่อเธอจะได้แสวงหาความสุขจากความมืดมนไม่ชัดเจนบ้าง

“แม่จ๋า ของขวัญวันปีใหม่จ๊ะ” นวลตองส่งกล่องของขวัญมาให้ ในนั้นเป็นเทียนไขสีเหลือง ตราช้างคู่ “เอาไว้ใช้ตอนไฟดับไงจ๊ะแม่”

นางสมัยสวมกอดลูกสาว เธอสับสนในความรักและความชัง ครั้งหนึ่งเธอเคยเกลียดก้อนเนื้อก้อนนี้ ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นพลังความหวังของเธอเหลือเกิน.

2 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ชอบนะ...จะแวะมาอ่านบ่อยๆ


สิบเดซืเบล

3:20 AM  
Blogger keerati said...

ขอบคุณนะคะ

ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ

10:59 PM  

Post a Comment

<< Home