“ขณะนี้เวลา 18.45 นาฬิกาเหลือเวลาอีก 15 นาทีห้องสมุดจะปิดให้บริการค่ะ” นารีง่วนอยู่กับการคัดเลือกหนังสือที่เธอจะยืมกลับไปทำรายงานต่อที่บ้าน ค่ำนี้เธอต้องกลับไปที่อยุธยา อีกหนึ่งสัปดาห์กว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง หนังสือกองโตถูกลำเลียงไปที่เคาน์เตอร์ยืม-คืนหนังสือ
“น้องคะ เหลือสิทธิ์ยืมหนังสือได้แค่ 4 เล่มนะคะ พอดีของเก่าน้องยังไม่ได้คืน 6 เล่ม” บรรณารักษ์คิ้วงามนามว่า พี่ศรีเพ็ญ จัดการยืมหนังสือให้นารีเรียบร้อย เธอกำลังหยิบหนังสือที่เกินมา 1 เล่ม เข้ารถเข็นเตรียมขึ้นชั้น เพราะใกล้เวลาปิดห้องสมุดแล้ว
“เดี่ยวพี่....ขออ่านก่อนได้ป่ะ” นารีรีบหยิบหนังสือ ศิลปะขอมมาพลิกดู สายตาของเธอสอดหาคนรู้จัก อาจเป็นเพื่อน รุ่นน้อง รุ่นพี่ ใครก็ได้ที่จะช่วยเธอเอาหนังสือเล่มนี้ออกไป..ไม่มีแม้สักคน เวลาเช่นนี้ ส่วนใหญ่ ออกไปนั่งรอกันที่ร้านหน้าพระลานแล้ว นารีทำอะไรช้าเสมอ ทุกเรื่องจะมีเธอเป็นคนรั้งท้ายทุกคราวไป
“เหลือเวลาอีก 5 นาที เอาไงดี ๆ” หนังสือเล่มนั้นยังอยู่ในมือของเธอ “เฮ้ย เธอ..มีที่ว่างเหลือยืมหนังสือป่ะ ขอยืมเล่มนึงได้ป่ะ” ชายรูปร่างบอบบางเป็นเป้าหมายที่ดีในเวลานี้
“อะไรคุณ”
“ยืมหนังสือให้หน่อยได้ไหมคะ”
“เอากี่เล่มครับ”
“เล่มเดียวค่ะ”
“วันหลังหน่ะ จะเข้ามาขอ มาพูดกันดีๆให้รู้เรื่องก่อนนะครับ ไม่ใช่พูดเร่งๆแบบนี้ เอาเบอร์โทรมาด้วย เผื่อคุณลืมคืน ผมได้ทวงได้”
ท้องฟ้านั้นมีสีเข้มอ่อนแตกต่างกัน ทั้งที่ก็เป็นฟ้าผืนเดิม ที่ตลาดหัวรอ นารีเลือกซื้อขนมสองสามอย่างก่อนกลับบ้าน ที่นี่มีอาหารขายมาก มีไก่ชุบแป้งทอดที่ทำคล้ายกันกับที่ขายที่หน้ามหาวิทยาลัย การที่เธอหยุดอยู่บ้านเพื่อทำรายงานนั้น เป็นผลดีกับครอบครัวเธอด้วย เธอต้องดูแลหลานๆแทนแม่ ซึ่งไปพยาบาลยายที่นครปฐม
“สวัสดีครับ ผมเองนะ พรุ่งนี้จะให้ผมยืมต่อให้ไหม ดูท่าคุณคงไม่มามหาวิทยาลัย”
“อ่อ..เธอนั่นเอง นี่เบอร์เธอหรอ พรุ่งนี้ไปคืนหนังสือให้ ไม่ต้องกลัว ว่าแต่เธอชื่อไรเนี่ย เรายังไม่เคยคุยกันแบบจริงจังเลยนี่นา” น้ำเสียงตื่นเต้นของนารีบอกว่าดีใจกับการได้รับสายจากชายหนุ่มที่เธอให้เบอร์ไว้ นานถึง 6 วัน
“ชื่อ..ชื่อ...อืมเรียกผมว่า ขิต ผมหน่ะชื่อจริงๆชื่อลิขิต แต่ผมว่ามันเหมือนพระเอกหนังไงไม่รู้ เรียกไอ้ขิก ไอ้ขิตไรก็แล้วแต่เหอะ ว่าแต่คุณเถอะ ชื่อไรครับ”
“ชื่อนารี เรียกนา เรียก รีอะไรก็ตามใจ ชื่อเรียกฉันมีเยอะ อยู่กับอีกคนเขาก็เรียกอีกอย่างหนึ่ง ตามสบายแล้วกัน นี่กินข้าวยังคะเนี่ย”
“คนไทย” ลิขิตเปรยเบาๆ
“อะไรนะ เมื่อกี้เธอว่าไรนะ พูดชัดๆสิ”
“เปล่าๆ ผมก็แค่บอกว่าคุณนี่นิสัยคนไทย คนไทยโบราณด้วย ถามเรื่องกินข้าว กินปลา ลมฟ้าอากาศ อะไรพวกเนี้ย ถามเยอะจริง ผมพูดเล่นหน่ะ แค่นี้นะ คุยมากมันเปลือง ไว้เจอกันที่ห้องสมุด ผมจะไปหาคุณ รอผมด้วยนะ ใกล้ๆห้องสมุดปิด ผมจะรอคุณที่ม้านั่งสีดำอย่าลืมล่ะคุณ บายครับ”
นารียังไม่ทันได้กล่าวร่ำลา ปลายสายก็ตัดไปเสียแล้ว เธออมยิ้ม กับมิตรภาพที่เข้ามาอย่างจู่โจม เธอจำได้ ผู้ชายคนนี้เคยไว้ผมเกรียน เคยสวมนักศึกษาเด๋อๆ แต่งตัวตามใจรุ่นพี่ เดินเป็นแถว เป็นขบวน ใบหน้าขรึมไม่ต่างจากคารมของเขาเลย จากคนที่เคยพบกัน มาถึงเวลาได้รู้จัก เธอตื่นเต้นกับมิตรภาพแบบนี้มาก เธออยากสานวันคืนให้ยาวไกล หากแม้เรียนจบไปจากที่นี่แล้ว ก็ยังอยากต่อมิตรกันด้วยทางอื่น ที่ไม่ใช่แค่การยืมหนังสือให้กัน
นารีหยิบหนังสือมาอ่านอีกครั้ง รายงานของเธอเสร็จไปเมื่อวานนี้ เธอทบทวนจนแน่ใจว่าจะไม่ต้องการใช้หนังสือเล่มนี้อีก มีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่ารีต้องการยืมมาอ่าน มีหนังสือพวกวรรณกรรมที่เธออยากอ่าน แต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้ เพราะลำพังหนังสือที่ใช้สำหรับทำรายงานก็คิวล้นจนไม่มีที่จะให้ยืมอยู่แล้ว
“ลิขิต...เธอนี่มันทำฉันมีปัญหา” นารีนอนหลับไปทั้งรอยยิ้ม
“ขณะนี้เวลา 18.45 นาฬิกาเหลือเวลาอีก 15 นาทีห้องสมุดจะปิดให้บริการค่ะ” เสียงบอกเวลาในห้องสมุดดังขึ้น เป็นสัญญาณให้นักศึกษาเตรียมเก็บข้าวของ ยืม-คืนให้เรียบร้อย นารีคืนหนังสือให้ลิขิตเรียบร้อยแล้ว เวลานี้เธอพร้อมแล้วที่จะกล่าวคำว่าสวัสดี กับเขาคนนั้น
“เอ้าเฮ้ย...รี มานั่งทำเหี้-ไรตรงนี้เนี่ย ไม่กลับบ้านวะ” ธงชาติเข้ามาตบไหล่นารี
“มารอเพื่อน นัดเขาไว้” นารีขยับตัวมองหา ไม่มีวี่แวว
“เพื่อนคนไหนวะ เพื่อนใหม่หรอ นั่นแน่ คั่วเด็กหรอว้า ไอ้รี มึ-นี่นะมีแต่เรื่องผู้ชาย ถ้าวันนึงมันตายหมดโลก มึ-ทำไงวะ”
“แหม เพื่อนโว้ยเพื่อน ไปปากเหี้-ที่อื่นเลยไป”
“งอนเว้ยงอน ไปหล่ะ รายงานเสร็จแล้วสิเห็นเอาหนังสือมาคืนกองโต”
“อืม เสร็จแล้ว พรุ่งนี้ส่ง เจอกันนะ เดี๋ยวรอเพื่อนตรงนี้ก่อน สักพักเขาคงมา เจอกันหว่ะ”
ธงชาติออกจากห้องสมุดเขาชนกับผู้ชายร่างเล็ก อย่างไม่ได้ตั้งใจ หนังสือของธงชาติ ตกเสียงดังลั่นห้องสมุดที่กำลังจะปิด ความเงียบเชียบทำให้ทุกสายตาที่ยังหลงเหลือเหลือบหันไปมองตามเสียงนั้น
“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมช่วยเก็บ”
“ไม่ต้อง..ทีหลังก็ระวัง มันเสียเวลาไหมเนี่ย”
ธงชาติสบตาลิขิตพักหนึ่ง เขาไม่พูดอะไรต่อ ความนิ่งเฉยของลิขิตทำให้ธงชาติไม่กล้าปริปากต่อว่าอะไร ทั้งที่เขามีนิสัยชอบโทษคนอื่น คนรอบข้างจะผิดเสมอ นารีเข้าใจเพื่อนคนนี้ดี เธอจะยอมให้ดุด่ามากว่าเถียง เพราะนั้นหมายถึงเรื่องจะไม่จบง่ายๆ แต่สำหรับครั้งนี้ ธงชาติอาจต้องทบทวนแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับท่าทีของเขา ที่มีต่อลิขิต
“รี รอผมนานไหม ขอโทษด้วยที่มาช้าพอดีผมเพิ่งทำงานเสร็จ” ลิขิตเดินเข้าไปทักนารีซึ่งกำลังเปิดสูจิบัตรอยู่ที่ม้านั่งสีดำนั้น
“ไม่นานๆ มีไรป่าวที่นัดเนี่ย” นารีปิดหนังสือเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อ่อ ผมแค่อยากเปิดโอกาสให้คุณตอบแทนเรื่องที่ให้ผมยืมหนังสือให้ ว่าไง จะตอบแทนไหม วันหลังจะได้ให้ยืมอีก ถ้าทำนิสัยดี”
“เดี๋ยวๆ เดี่ยวนะ เธอจะให้ฉันตอบแทนงั้นรึ เอาไรล่ะ อย่าแพงนะ ไม่มีเงิน ขี้เล่นนะเราเห้นขรึมๆ”
“ข้ามไปวังหลังกัน” ลิขิตเงียบไปสักพัก “ผมรู้ว่าคุณแอบมองผมมานานแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผมก็มองคุณไง”
“เฮ้ยบ้าเปล่าๆ..ใครมองวะ เธอนี่ขี้ตู่นะ ไปๆจะไปวังหลังก็ไป กินข้าวใช่ไหม ไปๆอย่างช้า ขอร้อง คนหิวๆอยู่”
เรือข้ามฝากพานารีและลิขิต ห่างไกลออกจากฝั่งท่าช้าง ระลอกน้ำทำเรือโคลงเคลง “ว่ายน้ำเป็นไหม” นารีถามขึ้นเมื่อมองเห็นเรือบรรทุกทรายแล่นผ่าน ทำให้เรือข้ามฝากเต้นระบำกับริ้วน้ำเจ้าพระยา เคล้าจังหวะการเต้นของหัวใจ
“ไม่เป็นครับ”
“อันตรายนะ ตกเรือไปทำไงเนี่ย” ไว้สอนให้แล้วกัน คิดตังค์นะไม่สอนฟรี ฮา ฮา
เรือเทียบท่า ทางขึ้นเรืออยู่ทางท้าย ผู้โดยสารรอบใหม่ลงทางกลางลำเรือ นารีก้าวนำไปก่อน ลิขิตจึงขึ้นตาม เขามีท่าทีกลัวเรือแยกออกจากท่าเล็กน้อย นารียื่นมือรับลิขิต เวลานี้เขาช่างเหมือนเด็ก ไม่ขรึมดุอย่างที่แล้วมา ลิขิตยิ้ม รอยยิ้มของเขามีเสน่ห์ลึกลับ นารีหลบสายตาและปล่อยมือเมื่อเขาขึ้นจากเรือเรียบร้อยแล้ว
(รออ่านต่อนะ)